เปิดใจ “สุกัญญา มิเกล” จาก “เสื้อเหลือง-นกหวีด” สู่ “ม็อบปลดแอก”

หลายคนรู้จักและนิยมชมชอบ “สุกัญญา มิเกล” ในฐานะร็อกเกอร์หญิงเจ้าของเสียงทรงพลังมีเอกลักษณ์ในยุค 90

แต่อีกด้านหนึ่ง “มิเกล” ยังเคยมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน ในสมัยม็อบพันธมิตรฯ (เสื้อเหลือง) และม็อบ กปปส. (นกหวีด)

นักร้องผู้นี้ย้อนเล่าถึงการตัดสินใจทางการเมืองในคราวนั้นว่า เกิดจากการถูกชักชวนแบบปากต่อปาก และกระแสความนิยมในตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง

ต่อมา เมื่อได้รับฟัง “ข้อมูลชุดเดียว” บ่อยครั้งเข้าจน “อิน” ผนวกด้วยการมีความเชื่อ ซึ่งเป็น “ความเชื่อของคนไทยทุกคน”

“สุกัญญา มิเกล” จึงเข้าร่วมม็อบและมีภาพลักษณ์เป็น “นักร้องฝั่งเหลือง-นกหวีด” อย่างยากปฏิเสธ

จึงเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดใจของคอการเมืองจำนวนมาก ว่าทำไม “มิเกล” ถึงไปปรากฏตัวใน “ม็อบปลดแอก-คณะราษฎร 2563” ทั้งยังร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับไอลอว์

ร็อกเกอร์หญิงบอกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการได้เห็นประชาชนมากมายประสบปัญหาเดือดร้อนทางปากท้อง-เศรษฐกิจ

เธอจึงเริ่มตั้งคำถาม แล้วค่อยๆ ค้นหาคำตอบ กระทั่งได้รับรู้ว่าผลของวันนี้ มีจุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหน

ครั้นพอรู้และได้เข้าใจในตัวต้นเหตุ ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นในความคิดของ “มิเกล” ก็คือ “เราเริ่มรู้สึกแย่ที่เราเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์วันนั้น ที่มันนำร่องมาถึงวันนี้”

เธอถามตนเองว่า ถ้ารัฐบาลเลือกตั้งที่ตัวเธอเคยออกไปประท้วงต่อต้านมีพฤติกรรมทุจริต แล้วทำไมเมื่อกองทัพทำรัฐประหารมาถึงสองครั้งสองครา จากปี 2549 ถึง 2557 ปัญหาเดิมๆ จึงยังคงค้างคาอยู่

“มันไม่ทุจริตเลยเหรอ มันก็มีเหมือนกันไหม? แถมจะหนักกว่าอีกนะ เพราะว่ามันตรวจสอบไม่ได้”

ด้วยเหตุนี้ มุมคิด-การมองโลกของ “สุกัญญา มิเกล” จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

“เริ่มศึกษาอีกฝั่ง เริ่มไม่ฟังเพื่อนพูด เริ่มไม่ฟังคนที่เรียกว่าใหญ่โตมีอำนาจพูด แต่เริ่มไปฟังคนที่เป็นชาวบ้านพูด เริ่มไปฟังเด็กที่เป็นคนรุ่นใหม่ห่างจากเรา 4 เจเนอเรชั่นพูด เริ่มมองสิ่งที่ลูกเจอภายในโรงเรียน เริ่มมองอีกด้านหนึ่ง ด้านเก่ามีอยู่แล้ว แต่เราเริ่มศึกษาอีกด้านหนึ่ง ที่ฝั่งนี้ไม่พูดไม่บอก”

โลกใบใหม่ทำให้นักร้องมาดมั่นนึกตำหนิความผิดพลาดบกพร่องของตนเอง

“โอ้ว… โลกนี้มันช่างกว้างไกลเหลือเกิน เราตำหนิตัวเองนะ แล้วคิดว่าหลายๆ คนเข้าใจสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสาร ยอมรับกับการที่จะต้องต่อว่าตัวเอง ว่าเราเองที่ไม่ศึกษาให้กว้างพอ”

 

“สุกัญญา มิเกล” เปิดตัวชัดเจนว่าเธอยืนอยู่ข้าง “ม็อบปลดแอก-คณะราษฎร” ด้วยการเข้าร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563

“มิเกล” อธิบายว่า เธอไม่ได้ไปม็อบเพราะเป็นแฟชั่น ไม่ได้ไปเพราะกลัวเด็กด่า แต่ก่อนจะเดินทางไปชุมนุม ศิลปินหญิงได้ค้นหาคำตอบเสียก่อนว่า สิ่งที่จะเข้าร่วมนั้นถูกต้องไหม และมีส่วนผิดบ้างหรือไม่ พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิด เธอจึงไม่กลัวเกรงที่จะไปร่วมม็อบ

นักร้องยุค 90 เล่าถึงประสบการณ์น่าประทับใจที่สนามหลวงในวันนั้น

เรื่องแรกคือ การมี “ป้าเสื้อแดง” มาขอถ่ายรูปคู่กับเธอฉันมิตร ซึ่ง “มิเกล” นิยามว่านั่นเป็น “บรรยากาศที่เคารพกัน” ทั้งยังเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เธอตระหนักชัดเจนว่า “คนหัวอนุรักษ์” กับ “คนหัวใหม่” แตกต่างกันตรงไหน

อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ถูกแชร์แพร่หลายในโซเชียลมีเดียก็คือ ภาพถ่ายอดีตนักร้องเสื้อเหลือง-นกหวีด ยืนคู่กับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่

“เรายืนอยู่ตรงไอลอว์ คือลงชื่อ (แก้ไขรัฐธรรมนูญ) เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พอสักพักหนึ่งคุณปิยบุตรแกก็เดินมาที่เวทีของไอลอว์ ที่เด็กๆ เขาทำกิจกรรมกันอยู่ เราก็ไม่รู้เรื่องนะ แต่เห็นว่ามีคนมากันเต็มเลย แล้วพี่พอลลีน (งามพริ้ง) ก็บอกว่าอาจารย์ปิยบุตรมา

“(เราก็) อ๋อเหรอ เออ คนเยอะดีจัง เราก็ยืนของเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้เสนอหน้าอะไรเข้าไปเลย พี่พอลลีนเขาก็ไปคุย คือเขาทำงานสายเดียวกัน เราเนี่ยเป็นประชาชนไปลงชื่อ แล้วก็พอพี่พอลลีนแกไป (คุยกับอาจารย์ปิยบุตร) แกก็กระซิบๆ

“สักพัก สิ่งที่เราเห็นก็คืออาจารย์ปิยบุตรเดินมา เหมือนแบบอ๋อเหรอฮะ แล้วก็เดินเข้ามาเลย แล้วก็จับมือ แล้วก็กระซิบว่า “ผมชอบเพลงพี่มากเลย ตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ แล้วครับ” (เขา) เป็นแฟนเพลง เราในฐานะที่เป็นศิลปิน ปลื้ม ปลื้มใจ แม่เจ้า! เด็กวัยรุ่น เป็นแฟนเพลงเราตั้งแต่วัยรุ่น แล้วปัจจุบันนี้ เขากลายเป็นคนที่เป็นนักคิดขนาดนี้เลยเหรอ”

“มิเกล” บอกว่าฟีดแบ็กที่ส่องสะท้อนมาถึงเธอหลังไปเปิดตัวกับ “ม็อบปลดแอก-คณะราษฎร” นั้นเป็นเรื่องของสังคมรอบข้าง มากกว่าจะเป็นปัญหาของตัวเธอเอง

“คือสิบปีที่แล้วเราถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวและหน้าโง่โดยฝั่งประชาธิปไตย พอมาปีนี้ เราถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวและชาติชั่วจากฝั่งอนุรักษนิยม ดังนั้น คนที่เป็นคนกำหนดคือใคร ไม่ใช่เรา พวกคุณกำหนดกันเองทั้งสิ้น”

เธอยังโต้ข้อหาไปร่วมม็อบเพราะไม่มีจะ “แดก” ด้วยถ้อยคำที่ร้อนแรงไม่แพ้กันว่า

“มีกระแสบอกว่า ที่มาทำแบบนี้เป็นเพราะว่าไม่มีจะแดก ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็ไม่มีแดกอยู่แล้ว เพราะว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่ส่งให้กูมีแดก แล้วก็คงไม่ใช่เราคนเดียว คงเป็นคนอีกหลายคนที่เป็นอาชีพอิสระที่ไม่มีแดก แต่ไม่มีแดกแล้วนั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ ไหม? แล้วไม่มีแดก (ต่อไป) แต่เราออกมาเพื่อจะบอกว่ามึงเปลี่ยนได้แล้ว กูจะได้มีแดกสักที”

ท้ายสุด เมื่อถามว่าอยากจะฝากอะไรถึงเหล่าคนรุ่นใหม่ที่กำลังตื่นตัวทางการเมือง

“สุกัญญา มิเกล” ฝากบอกคนรุ่นลูกรุ่นหลานเหล่านั้นว่า

“จงอดทนแล้วซื่อสัตย์กับสิ่งที่คุณคิดและรู้สึก แม้ว่ามันจะต้องกัดก้อนเกลือ แม้ว่ามันจะต้องโดนคนด่า แม้ว่ามันจะต้องโดนชิงชัง ด้วยสายตาอันเหยียดหยาม แต่ขอให้ซื่อสัตย์ว่าสิ่งที่คุณรู้สึกกับคำว่าเสรีและอิสระ มันคือชีวิตและวิญญาณของคุณ

“อย่าท้อแท้ อย่าเสียใจกับสิ่งที่เราเป็นโดยธรรมชาติ คำว่าเสรีและความคิดอิสระ มันเป็นสมบัติของวิญญาณทุกวิญญาณ ดังนั้น จงภูมิใจที่มีมัน เข้มแข็งที่มีมัน การก้มหัวให้กับอะไรบางสิ่งบางอย่าง มันทำลายวิญญาณจริงๆ”