คุยกับ”วาววา” เรื่องที่ เรียนรู้ ก่อนการเปลี่ยนแปลง จาก”ก่อนนั้น” กับ “ตอนนี้”

ไม่เพียงแต่พลิกบทบาทจากนางเอกคนดีมาเป็นคนแสนร้ายในละคร “ร้อยเล่ห์มารยา” ที่กำลังออกอากาศทางช่อง 3 HD ที่ทำเอาหลายคนต้องมองวาววา ณิชชา โชคประจักษ์ชัด ในมุมใหม่ นักแสดงสาวคนดังยังบอกด้วยว่าอยากจะให้แฟนติดตามงานอีก 2 ชิ้น คือ “มายาเสน่หา” กับ “รัก นิรันดร์ จันทรา” ที่เชื่อว่าน่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากบทอันแตกต่าง

“ปี 2561, 2562 แล้วก็ปีนี้เป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับการแสดง ได้เล่นอะไรใหม่ๆ แล้วก็ถ่ายพร้อมกัน 3 เรื่อง” เจ้าตัวเล่าพลางหัวเราะ

“เหนื่อย” – หากก็เต็มที่

เพราะ “อยากให้ผลออกมาดี หลังจากเหนื่อยมาทั้งปีแล้ว”

แต่ก็นะ…ทำได้แค่รอลุ้น

“วาว่ามันอยู่ที่จังหวะชีวิตคนด้วยแหละ บางทีการที่เราจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว แต่อยู่ที่องค์ประกอบหลายๆ อย่าง”

ในวันที่วัยก้าวมาได้ 28 ปี วาววาบอกว่า นอกจากจะมีประสบการณ์เยอะขึ้น เธอยังรู้สึกเข้าใจโลกมากขึ้น และแน่นอนว่าเข้าใจชีวิตมากขึ้นด้วย

“ตอนนี้วาได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน”

ดังนั้น จากเด็กที่เคยทำตามคำบอกของผู้ใหญ่ “เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราอยากได้อะไร อยากทำอะไร” ก็เปลี่ยนไป เป็นเลือกทำในสิ่งที่อยาก

จากที่พุ่งเป้าทำแต่งาน ก็ขอดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ ควบคู่

“ก่อนหน้านี้ทำงานอย่างเดียว แต่ล่าสุดไปนิวซีแลนด์ ไปเรียน ไปเพิ่มความรู้ ก็มีสกิลในการเต้น ขี่ม้า ทำอะไรหลากหลาย ในเวลาประมาณเดือนครึ่ง ก็รู้สึกว่านี่แหละคือชีวิตที่เราต้องใช้บ้าง รู้สึกว่านั่นละคือคุณภาพชีวิตที่ดี”

ในห้วงเวลาที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้สัมผัสผู้คนในสังคมที่แตกต่าง วาววาบอกว่า ยังส่งผลให้ก็ได้คิดในเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน นั่นคือ “ที่ผ่านมา อาจจะเพราะว่าเราอยู่ในสังคมเมืองกรุงเทพฯ พวกวัตถุ สิ่งของก็จะเป็นอะไรที่สำคัญ ภาพลักษณ์อะไรอย่างนี้ แต่พอไปอยู่ต่างประเทศ ที่เขาไม่ได้ซีเรียสว่าเราจะต้องมีอันนั้น มีอันนี้ แค่ใช้ชีวิตมีความสุข มีคุณภาพ คือกินของดี อยู่ในอากาศดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ เพื่อนดีๆ จบ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมายเพื่อที่จะมีความสุข เพราะฉะนั้น ความสุขมันเลยง่ายขึ้น ไม่รู้สึกกดดัน ว่าเราอยู่ตรงนี้เรายังไม่มีเท่าคนนั้น”

หลายคนที่เคยไปนิวซีแลนด์อาจบอกว่าชีวิตที่โน่นเหงา แต่สำหรับเธอแล้วตรงกันข้าม

“เราอยู่กรุงเทพฯ ทำงานเจอคนเยอะ สนุกสนาน เป็นบรรยากาศที่ชอบก็จริง แต่มันก็มีความวุ่นวาย ความเครียด พอไปที่นู่นจะเป็นอะไรที่เงียบสงบ นั่งเฉยๆ แค่สูดอากาศ ก็ยังมีความสุข”

ว่าแต่ทั้งหมดนั้นเป็นอิทธิพลจากหนุ่มนิวซีแลนด์ที่อยู่เคียงข้างด้วยไหม?

ฟังแล้วสาวเจ้าหัวเราะ จากนั้นเล่าว่า ความจริงเธอชอบมาตั้งแต่ก่อนจะรู้จักเขา ชอบตั้งแต่ตอนไปเที่ยวหาเพื่อนที่ใช้ชีวิตที่นั่น โดยเธอนั้นไปช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ปี 2561 แต่มารู้จักเขาจริงๆ ช่วงเดือนมกราคม 2562 ที่เธอไปอีกครั้ง

ดังนั้น จึงไม่น่าเกี่ยว

ส่วนกับหนุ่มคนที่คุยๆ กันมานับแต่นั้น วาววาบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจ วัย 32 ปี มีบริษัททำเกี่ยวกับซอฟต์แวร์สำหรับแว่น VR

เป็นคนโอเค, ดูมีอนาคต, เป็นคนทำงานที่ตั้งใจ และรักในสิ่งที่เขาทำ เป็นคนใช้ได้-คือคำบรรยายส่วนหนึ่งที่เธอให้

รวมถึงยังบอกว่า “เขาเป็นคนทำให้วาเป็นตัวเองมากขึ้น”

“เขาจะพูดตลอดว่ายูมีคุณค่าในตัวเอง ยูต้องมั่นใจ ยูอยากทำอะไรยูต้องเลือกในสิ่งที่อยากทำจริงๆ”

“กลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่เราคุย เราปรึกษาอะไรก็ได้ และพึ่งพาได้”

ด้วยเหตุนี้ถ้าความสัมพันธ์ยังดีไปเรื่อยๆ จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตเธอจะใช้ชีวิตใน 2 แหล่ง คือช่วงมีงานแสดงก็มากรุงเทพฯ นอกเหนือจากนั้นก็จะอยู่นิวซีแลนด์

ส่วนเรื่องจะแต่งงานไหม หรือไม่ อย่างไร วาววาบอกว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในความคิด

“สมัยก่อนมีนะ อยากแต่งงาน แต่พอโตขึ้นมา รู้สึกว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญ หัวใจสำคัญ การแต่งงานมันต่างจากการคบเป็นแฟนตรงไหน ที่สำคัญคือเราอยู่กับรีเลชั่นชิพ อยู่กับความสัมพันธ์ได้นานแค่ไหนมากกว่า บางคนคบกันมา 10 ปี แต่งงานปีเดียวเลิก”

“อะไรคือความหมายของการแต่งงาน คือมันอาจจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม แต่ถ้าครอบครัวเราไม่ได้ซีเรียส ครอบครัวเขาไม่ได้ซีเรียส ว่าจะต้องมีงาน วาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นส่วนสำคัญ อยู่ที่เราสองคนอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เลิก ถ้ามีก็อยู่กันต่อไป”

“ถามว่าวาเป็นผู้หญิงแบบไหน มันก็มีหลายมุมมาก แต่จริงๆ คือวากำลังหาตัวเองอยู่ เพราะตอนแรกเราก็ไม่รู้ คือคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ควรเป็นแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็จะมีคนบอกว่าเราต้องทำยังไง ต้องเป็นยังไง แต่พอไปใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง วาเลยจะไม่พยายามเอากรอบ เอาหน้ากากต่างๆ มาใช้ เพราะมีคนบอกว่าควรใส่ แต่จะเป็นในแบบที่ตัวเองเป็น จะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด จะใช้ชีวิตในสิ่งที่ตัวเองอยากจะใช้”

“แต่ก่อนใครบอกยังไง เราจะเก็บเอามา แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ตอนนี้เราต้องถามใจเราจริงๆ ว่าอันไหนที่เราอยากจะทำ อันไหนที่เราไม่อยากจะทำ”