THE ZOOKEEPER “S WIFE ” มนุษยธรรมท่ามกลางความโหดร้าย”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

THE ZOOKEEPER”S WIFE “มนุษยธรรมท่ามกลางความโหดร้าย”

กำกับการแสดงNiki Caro

นำแสดง Jessica Chastain. Johan Heldenbergh, Daniel Br?hl

The Zookeeper”s Wife สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1939-1945 ในประเทศโปแลนด์ระหว่างการยึดครองของพวกนาซีเยอรมัน

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าในวันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพนาซีเยอรมันเข้ารุกรานโปแลนด์ อันเป็นเหตุให้อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1939 ซึ่งลุกลามไปทั่วยุโรป กลายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่สอง

ขณะเดียวกับโซเวียตรัสเซียก็ยกทัพข้ามแดนมาเสมือนจะให้ช่วยโปแลนด์ต่อสู้เยอรมนี ทำให้ชาวโปลหลงเชื่อหลบหนีไปขอความคุ้มครอง ทว่า โซเวียตเองก็เป็นมิตรที่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก เพราะส่งชาวโปลที่ไม่เห็นด้วยไปอยู่ไซบีเรีย ทำให้ล้มตายไปจำนวนมหาศาล

เรื่องราวการยึดครองและเข่นฆ่าชาวยิวในโปแลนด์จากพวกนาซีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ เป็นทารุณกรรมและความโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

สถิติอันน่าอัปยศของมนุษยชาติระบุว่ามีชาวยิวโปแลนด์เสียชีวิตไปในสงครามโลกครั้งที่สอง ในจำนวนมากมายมหาศาลถึงกว่าสามล้านคน

The Zookeeper”s Wife เป็นเรื่องราวขบวนการช่วยชีวิตด้วยมนุษยธรรมของครอบครัวชาวคริสต์โปแลนด์ครอบครัวหนึ่ง ที่ว่ากันว่าช่วยชาวยิวหลบหนีและรอดชีวิตมาได้ราวสามร้อยคน

ตัวเลขสามร้อยจากคนที่เสียชีวิตทั้งสิ้นสามล้านนั้นไม่มากหรอกค่ะ แต่มนุษยธรรมของคนพวกนี้ก็ยังเป็นเรื่องกินใจและทำให้เราใจชื้นขึ้นว่ายังมีผู้คนที่พยายามเอาชนะความเลวร้ายและคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังผลในโลกนี้อยู่

กว่ายี่สิบปีมาแล้ว สตีเวน สปีลเบิร์ก สร้างหนังที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันและสร้างจากเรื่องราวของบุคคลจริงเหมือนกัน เรื่อง Schindler”s List (เลียม นีสัน, เรฟ ไฟน์ส) ซึ่งเป็นเรื่องของนักธุรกิจชาวโปแลนด์ที่ช่วยเหลือชาวยิวให้รอดจากเงื้อมมือพวกนาซีได้นับพันคน จนกลายเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ชนะใจกรรมการออสการ์ไปในปี 1994

The Zookeeper”s Wife เป็น Schindler”s List ในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเปลี่ยนจากนักธุรกิจเจ้าของโรงงานมาเป็นหญิงสาวเจ้าของสวนสัตว์ในเมืองวอร์ซอภายใต้การยึดครองของนาซี

อันโตนีนา ซาบินสกี (เจสซิกา เชสเทน) กับ ดร.ยาน ซาบินสกี (โยฮัน เฮลเดนแบร์ก) เป็นเจ้าของสวนสัตว์ในกรุงวอร์ซอ อันเป็นเมืองหลวงของประเทศโปแลนด์

หนังเป็นเรื่องของอันโตนีนาล้วนๆ เมื่อเปิดเรื่อง เธอช่วยสามีดูแลสวนสัตว์อย่างเอาใจใส่และด้วยใจรักแท้ๆ ถีบจักรยานไปทั่วบริเวณโดยมีสัตว์ต่างๆ เช่นอูฐ วิ่งไล่ตามหลังอย่างร่าเริง ในบ้านเลี้ยงลูกสิงโตสองตัวซึ่งเชื่องเหมือนแมว และปล่อยให้อยู่กับลูกชายคนเดียว

ในงานสังคม เธอเพิ่งจะได้รู้จักกับผู้ชายชาวเยอรมันที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสวนสัตว์ ที่ชื่อ ลุตซ์ เฮ็ก (แดเนียล บรูห์ล) เฮ็กบอกว่าเขากำลังพยายามทำการทดลองแพร่พันธุ์กระทิงพันธุ์หายากเลือดบริสุทธิ์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์หมดแล้ว

ระหว่างงานเลี้ยง เกิดเรื่องซึ่งดึงอันโตนีนาออกไปจากงาน เธอผลุนผลันไปที่โรงช้าง ขณะที่แม่ช้างกำลังอาละวาดเพราะให้กำเนิดลูกช้างที่ทำท่าว่าจะไม่รอดชีวิต

อันโตนีนาไม่ได้รั้งรอหรือนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย เมื่อปราดเข้าไปทำการช่วยเหลือให้ลูกช้างหายใจได้

แน่นอนว่าเธอช่วยชีวิตลูกช้างได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงปรบมือและสายตาชื่นชมของคนโดยรอบ รวมทั้งเฮ็ก แถมด้วยแม่ช้างที่ส่งเสียงร้องอย่างดีใจและสำนึกบุญคุณ

ไม่นานหลังจากนั้น กรุงวอร์ซอก็โดนรุกรานโดยการทิ้งระเบิดและระดมยิงอย่างหนัก ในชั่วเวลาสั้นๆ วอร์ซอก็ตกอยู่ใต้การยึดครองของพวกนาซีอย่างยากจะต้านทาน

เพื่อช่วยเหลือพวกสัตว์ตัวสำคัญๆ และราคาแพงในสวนสัตว์ เฮ็กยื่นข้อเสนอให้พาสัตว์จำนวนหนึ่งไปไว้ที่สวนสัตว์ในเบอร์ลินที่เขาดูแลอยู่ โดยบอกว่าจะคืนให้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง

อันโตนีนาไม่มีทางเลือกนอกจากให้ความยินยอม ขณะที่สัตว์หลายตัว แม้แต่ช้างตัวโตๆ ที่หลุดเพ่นพ่านออกมาโดนยิงล้ม ทำให้เธอใจแทบขาดรอนๆ แคแร็กเตอร์ของอันโตนีนาได้รับการอธิบายไว้ด้วยคำบอกเล่าของเธอตอนหนึ่งที่ว่า เธอรักสัตว์เพราะเมื่อมันไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำใดๆ นัยน์ตาของมันบอกความจริงใจไร้มารยาโดยสิ้นเชิง

ผลที่ตามมาทันทีหลังจากการยึดครองคือชาวยิวถูกยึดทรัพย์ กวาดต้อนจากบ้านเรือนและให้ไปอยู่รวมกันในย่านที่เรียกว่า เก็ตโต โดยพวกนาซีมีนโยบายแบ่งแยกชาติพันธุ์ชาวยิวด้วยการให้สวมปลอกแขนที่ติดดาวเดวิด เพื่อระบุตัวได้ชัดเจน และเกณฑ์แรงงานชาวยิวไปใช้ในค่ายกักกัน

ทั้งที่หวาดกลัวอันตรายที่อาจเกิดแก่ตนและครอบครัว (โปแลนด์เป็นประเทศเดียวที่พวกนาซีประกาศนโยบายลงโทษถึงชีวิตแก่คนที่ให้ความช่วยเหลือชาวยิว) อันโตนีนาก็ยังไม่อาจเบือนหน้าหนี หรือทำเมินเฉยต่อชะตากรรมของชาวยิวรอบตัว

เธอบอกสามีว่าเราต้องช่วยซ่อนตัวพวกเขาและช่วยให้หลบหนีไปได้เมื่อมีโอกาส

เมื่อสวนสัตว์ต้องปิดตัวลง ครอบครัวซาบินสกี้ก็ยื่นข้อเสนอจะทำฟาร์มเลี้ยงหมู โดยใช้เศษขยะที่เหลือจากเก็ตโตเป็นอาหารเลี้ยงหมู

การใช้รถขนขยะจากเก็ตโตก็เป็นวิธีการซ่อนตัวชาวยิวบางคนให้หลบหนีมาได้อีกทาง

แม้จะเป็นเรื่องราวอันน่าชื่นชมที่แสดงให้เห็นมนุษยธรรม แต่ The Zookeeper”s Wife ก็ไม่ใช่ Schindler”s List เรื่องราวถูกเคลือบเงาให้สวยงามและโรแมนติกขึ้น โดยปัดความจริงอันโหดร้ายไว้ข้างๆ

ตัวละครแทบจะไม่มีพัฒนาการเลย ยกเว้นเพียงอันโตนีนาที่เป็นนางเอกโดดเด่นอยู่คนเดียว เรื่องราวของชาวยิวที่เธอช่วยให้รอดถูกมองข้ามไปเสียเฉยๆ จะมีอยู่กระเซ็นกระสายก็แต่เพียงเด็กสาวคนเดียวที่โดนทหารนาซีทารุณกรรม ที่ถูกกล่าวถึงอย่างผิวเผิน

การกระทำของตัวละครดูแปลกแปร่งและออกจะโง่เง่าต่อความเป็นจริงที่คุกคามอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

ยกตัวอย่างให้เห็นพอเป็นกระสายก็เช่น ชาวยิวหลายคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินภายใต้จมูกของทหารนาซี วันๆ เอาแต่ขีดเขียนฝาผนังเป็นภาพที่ฟ้องให้รู้ถึงตัวเอง โดยไม่ได้นึกเผื่อเหลือเผื่อขาดว่าวันหนึ่งจะต้องโดนค้นบ้าน และมีหลักฐานฟ้องตัวให้เห็นทนโท่อยู่อย่างไม่ลบเลือน

ที่น่าขัดใจที่สุดคือ ลูกชายของอันโตนีนาทำการท้าทายเหมือนจะตบหน้าพวกนาซีโดยประกาศแช่งด่าฮิตเลอร์กึกก้อง เพียงเมื่อนาซีคนสำคัญคล้อยหลังไปเพียงไม่เท่าไร โดยปล่อยให้เสียงลอยมาให้ได้ยินเสียด้วย…

โดยรวมแล้ว หนังจึงไม่ได้ให้ความจริงตามควร ซึ่งจะนำเสนอภาพความหฤโหดร้ายกาจของการถูกยึดครองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ตามความเป็นจริง

แต่คล้ายจะหลบเลี่ยงไปมา เหมือนจะตอกตะปูไม่โดนหัวตะปูเสียที

พูดอีกทีก็คือ นี่ไม่ใช่ Schindler”s List และถูกทำให้เป็นเรื่องโรแมนติกสวยงามเกินกว่าจะเป็นฮอโลคอสต์อย่างที่เรารู้จักกันค่ะ

เป็นเพียงเรื่องที่ทำขึ้นเพื่อเชิดชูวีรกรรมของวีรสตรีคนหนึ่งโดยมองข้ามความจริงแวดล้อมอันจะสร้างความหนักแน่นให้แก่วีรกรรมของเธอไปเสียดื้อๆ…น่าเสียดายเนื้อหาดีๆ แบบนี้จัง

ตอนแรกกะว่าจะซื้อหนังสือมาอ่านหลังจากดูหนัง แต่ตอนนี้คงไม่อยากอ่านแล้วละค่ะ