ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | บนหนทางสู่อวสานเผด็จการรัฐสภายุคประยุทธ์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เล่ห์เหลี่ยมของพลเอกประยุทธ์ในการเตะถ่วงแก้รัฐธรรมนูญทำให้รัฐสภากลายเป็นเครื่องมือต่ออายุรัฐธรรมนูญเผด็จการไปได้อีกหนึ่งเดือน แต่ในที่สุดร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน อย่างไม่มีทางบิดพลิ้วได้เลย

แม้พลเอกประยุทธ์จะบรรลุเป้าหมายในการเตะถ่วงแก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้นทุนของการกระทำแบบนี้คือความน่าเชื่อถือของวุฒิสภาที่พังทลายอย่างย่อยยับ ข้ออ้างเรื่องวุฒิสภาขอศึกษาญัตติรัฐธรรมนูญนั้นตื้นเขินจนทั้งประเทศไม่มีใครเชื่อ รวมทั้งไม่มีใครไม่รู้ว่านี่คือข้ออ้างเพื่อเตะถ่วงทางการเมือง

เครือข่าย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกพยายามสร้างกระแสว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญส่งมาเร็วไป วุฒิสมาชิกอ่านไม่ทัน แต่คำพูดนี้ย้อนแย้งกับพฤติกรรมวุฒิสมาชิกที่อวยข้อดีของรัฐธรรม นูญ 60 ได้เป็นฉากๆ จนข้ออ้างว่าขอเวลาศึกษาเรื่องนี้กลายเป็นการลวงโลกทางการเมือง

การเตะถ่วงแก้รัฐธรรมนูญคือสัญญาณของความต้องการขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ และต่อให้มีการอ้างว่าญัตติแก้รัฐธรรมนูญจะเข้าสู่รัฐสภาได้อีกครั้งหลังวันที่ 1 พ.ย. แต่ก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่าพลังประชารัฐของพลเอกประวิตรและวุฒิสมาชิกของพลเอกประยุทธ์จะยื้อเรื่องนี้ต่อไป

ถ้าคุณประยุทธ์ใช้พลังประชารัฐและวุฒิสภาโหวตตั้งกรรมาธิการศึกษาเพื่อเตะถ่วงการแก้รัฐธรรม- นูญได้ในวันที่ 24 ก.ย. การลงมติเรื่องนี้ในสมัยประชุมหน้าก็อาจเผชิญเล่ห์เหลี่ยมทำนองเดียวกันนี้ได้อีก นั่นก็คือคุณไพบูลย์อาจเสนอขอขยายเวลาศึกษาโดยอ้างว่าไม่พร้อมโดยมีวุฒิสมาชิกรับรอง

ด้วยจำนวนวุฒิสมาชิกที่ตั้งเองกับมือจนเปรียบได้กับพรรคประยุทธ์ 250 ราย กับพลังประชารัฐและพรรคเล็กอื่นๆ ในสังกัดพลเอกประวิตรอีกราว 130 ราย พลเอกประยุทธ์และพวกคือฝ่ายที่ครอบเสียงข้างมากในรัฐสภาจนสามารถขอขยายเวลาศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญไปได้ตลอดกาล

อย่างไรก็ดี หากประเทศไม่มีวุฒิสภาจนสามารถตัดวุฒิสมาชิกของคุณประยุทธ์ทิ้งไป เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ฝ่ายแก้รัฐธรรมนูญทั้งสิ้น เพราะการเตะถ่วงแก้รัฐธรรมนูญโดยพลังประชารัฐและวุฒิสมาชิกมี ส.ส.ขานรับแค่ 203 ส่วน ส.ส.ฝ่ายค้านและประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วยถึง 252 คน

คุณประยุทธ์เป็นนายกที่คนแทบทุกกลุ่มเห็นพ้องว่าวิสัยทัศน์แย่ และถ้าถือว่าวิสัยทัศน์คือความสามารถคิดเรื่องระยะยาว คุณประยุทธ์ก็อยู่แถวหน้าของการตัดสินใจทางการเมืองที่คิดสั้น เอาแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า มุ่งเอาชนะทางการเมือง แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการชนะใจประชาชน

ด้วยการตัดสินใจใช้คุณไพบูลย์, พรรคพลังประชารัฐ และวุฒิสมาชิกเตะถ่วงการแก้รัฐธรรมนูญ คุณประยุทธ์ทำให้คนทั้งประเทศมองเห็น “ระบอบประยุทธ์” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งทำให้คนจำนวนมากตาสว่างว่า “ระบอบประยุทธ์” อยู่ตรงข้ามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร

คุณประยุทธ์มักอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 60 เกิดเพื่อกำจัด “เผด็จการรัฐสภา” แต่ด้วยวิธีเตะถ่วงโดยใช้พลังประชารัฐและวุฒิสมาชิกเป็นเครื่องมือ คุณประยุทธ์ได้เปลือยตัวเองแล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ “เผด็จการรัฐสภา” และระบบ “เสียงข้างมากลากไป” ภายใต้คุณประยุทธ์แต่เพียงผู้เดียว

ถ้าคุณประยุทธ์ตัดสินใจเตะถ่วงการแก้รัฐธรรมนูญในเดือนพฤศจิกายนโดยขอขยายระยะเวลาศึกษาต่อไป จำนวนคนที่ตาสว่างว่า “ระบอบประยุทธ์” อยู่ตรงข้ามประชาชนก็จะยิ่งมีมากขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนคนที่ตาสว่างเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” และ “เสียงข้างมากลากไป” ในยุคคุณประยุทธ์เอง

รัฐธรรมนูญในทางหลักวิชาคือกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง แต่ด้วยความเป็นจริงของประเทศใต้อุ้งเท้าเผด็จการ รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายเผด็จการปกครองประชาชนตามกติกาที่เผด็จการกำ หนด การเตะถ่วงแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นหลักฐานว่าคุณประยุทธ์ไม่ยอมให้ใครปรับปรุงกติกานี้เลย

คุณธนาธรและพรรคฝ่ายค้านพูดถูกว่า “เผด็จการรัฐสภา” และระบบ “พวกมากลากไป” ทำให้สภาไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ การที่รัฐบาลตั้งกรรมาธิการศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญช่วงต้นปี รวมทั้งยอมให้สภาถกเรื่องนี้ช่วงเดือนกันยาจึงเกิดจากการจำนนต่อพลัง “การเมืองนอกสภา” โดยสิ้นเชิง

ในโลกที่คุณประยุทธ์เห็นจนเกิดการกระทำหลายอย่างที่คุณประยุทธ์เป็น ถ้าทำให้ “การเมืองนอกสภา” อ่อนแอ พลังทางสังคมที่ผลักดันให้รัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญย่อมอ่อนแอลงด้วย ผลก็คือระบอบประยุทธ์สามารถแสดงตัวเป็น “เผด็จการรัฐสภา” และ “พวกมากลากไป” โดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย

“การเมืองนอกสภา” ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดก่อนที่คุณประยุทธ์จะใช้กระบอกปืนจี้หัวประชาชนปี 2557 คือคนเสื้อแดง แต่ด้วยวิธีที่คุณประยุทธ์ใช้ทหารล่าประชาชนอย่างวิปริตถึงขั้นแค่มีขันแดงยังโดนข้อหากบฎ คุณประยุทธ์ประสบความสำเร็จในการทำให้คนเสื้อแดงลดการแสดงตัวมาเป็นเวลานาน

คุณประยุทธ์ถูกคนระดับแรมโบ้อีสานหลอกว่าเมื่อคนเสื้อแดงเสียงแผ่วลง “การเมืองนอกสภา” ที่จะท้าทายอำนาจคุณประยุทธ์ก็จะเสื่อมถอยลงด้วย แต่ทันทีที่นักเรียนนักศึกษาเคลื่อนไหวในนามกลุ่มปลดแอกหลังเดือนกรกฏาฯ “การเมืองนอกสภา” ก็กลับมาในรูปแบบที่ไม่มีใครคาดคิดเลย

สามเดือนของนักศึกษาคือสามเดือนที่เห็นชัดว่า “การเมืองนอกสภา” กลับมาด้วยปริมาณมวลชนที่มากขึ้น, ฐานสนับสนุนทางสังคมที่ลึกขึ้น และศักยภาพความเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นกว่าเดิม เพราะทั้งหมดเป็นความเคลื่อนไหวที่เป็นไปเอง ไม่มีพรรคหรือสื่อหนุนช่วย และแทบไม่มีศูนย์กลาง

หัวใจของระบอบประยุทธ์คือพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเครื่องมือเผด็จอำนาจคุณประยุทธ์ตลอดไป ทิศทางการเมืองจากนี้จนเปิดสภาจึงเป็นการทำลายความชอบธรรมของ “การเมืองนอกสภา” ให้มากที่สุด โดยเฉพาะการทำลายความน่าเชื่อถือของคนที่ระบอบประยุทธ์เห็นว่าเป็น “แกนนำ”

ธรรมชาติของขบวนการปลดแอกคือเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่มีศูนย์กลาง การทำลาย “แกนนำ” จึงส่งผลแค่เพิ่มจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่ถูกรัฐบาลดำเนินคดี แต่ไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวมากนัก เพราะต่อให้ไม่มีใครที่รัฐถือว่าเป็น “แกนนำ” คนจำนวนมากก็พร้อมเคลื่อนไหวแบบที่ผ่านมาอยู่ดี

กองหนุนเผด็จการพยายามกล่าวหาว่ากลุ่มปลดแอกสุดโต่งแบบ “ยุวชนแดง” ที่รัฐบาลเผด็จการจีนจัดตั้งเพื่อกวาดล้างคนเห็นต่างจากพรรคคอมมูนิสม์ แต่ที่จริงกลุ่มปลดแอกเป็นผลผลิตของสังคมที่อุดมการณ์เสรีนิยมและประชาธิปไตยเติบโตจนคนจำนวนมากแสดงออกว่าเห็นต่างจากรัฐเผด็จการ

ใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลประยุทธ์และชนชั้นนำไทยตามก้นจีน แต่พอถึงเรื่องปฏิวัติวัฒนธรรมของพรรคคอมมูนิสม์จีน รัฐบาลกลับฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้มาด่าคนไทยด้วยกันมั่วไปหมด ทั้งที่กลุ่มปลดแอกต่างจาก ‘เรดการ์ด’ หรือ ‘ยุวชนแดง’ จนถ้ารัฐบาลอ่านหนังสือสักนิดก็คงอายที่จะขายขี้เท่อหากิน

‘เรดการ์ด’ หรือ ‘ยุวชนแดง’ คือคนกลุ่มที่รัฐบาลเผด็จการคอมมูนิสม์จีนให้ท้ายให้ตั้งขบวนการล่าแม่มดคนเห็นต่างจากเผด็จการ ใครคิดไม่เหมือนรัฐบาลจีนก็จะถูกตามล่าถึงบ้านหรือที่ทำงานด้วยวิธีต่างๆ โดยรัฐบาลจีนไม่เคยห้ามหรือลงโทษฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กลุ่มปลดแอก’ คือคนไทยที่ตาสว่างถึงความเฮงซวยของรัฐเผด็จการจนรวมตัวเพื่อผลักดันให้สภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายในการเรียกร้องของกลุ่มปลดแอกจึงได้แก่รัฐ ผลที่ได้รับคือการถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามและยัดคดีตั้งแต่ข้อหาก่อกบฎจนถึงใช้เครื่องเสียงดัง

กลุ่มปลดแอกมีพลังเพราะวางตัวเป็น Platform หรือ “สนาม” ให้คนที่มีจิตสำนึกเรื่องเสรีนิยมและประชาธิปไตยแสดงออกและรวมตัวกัน รัฐจึง “จัดการ” กลุ่มปลดแอกได้ยาก เพราะกลุ่มเป็นเพียงกระจกสะท้อนคนที่คิดแบบกลุ่มอีกมหาศาลที่ออกมาแสดงออกเพราะกลุ่มเปิดพื้นที่ให้เท่านั้นเอง

การเคลื่อนไหววันที่ 19 กันยามีเฉดและ “ประเด็น” เหลื่อมจากกลุ่มปลดแอก ความต้องการยกระดับ “เพดานการพูด” ทำให้การชุมนุมมีภาพชัดเจนขึ้นเรื่อง “แกนนำ” จนเห็นได้ชัดว่ารัฐพยายาม “จัดการ” คนกลุ่มนี้เพื่อทำลายความเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่เคยปรากฎเท่านี้ในกรณีกลุ่มปลดแอกเลย

ขณะที่คุณประยุทธ์ในช่วงก่อนและหลัง 19 กันยา มักโจมตี “แกนนำ” ด้วยข้อหาสถาบัน แต่ทันทีที่การเตะถ่วงรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น คุณประยุทธ์กลับโจมตีคนกลุ่มนี้ด้วยข้อหาม็อบหยาบคาย ทิศทางของระบอบประยุทธ์จึงขยับจากเรื่องเดิมที่ได้ผลจำกัดมาสู่เรื่องใหม่ที่รัฐเชื่อว่าจะขยายผลได้กว่าเดิม

แม้จะเร็วเกินไปในการสรุปว่ายุทธวิธีของรัฐได้ผลหรือไม่และอย่างไร สิ่งที่พูดได้ก็คือรัฐมีเป้าหมายให้กลุ่ม 19 กันยาฯ มีฐานผู้สนับสนุนเรียวแคบจนโดดเดี่ยวตัวเอง ความน่าเชื่อถือลดลง และมีความชอบธรรมในการผลักดันเรื่องรัฐธรรมนูญต่ำลงโดยปริยาย

การเมืองไทยในเดือนตุลาคือการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายต่อต้านแก้รัฐธรรมนูญ ฝ่ายแก้มีน้ำหนักกว่าทางสังคม แต่ฝ่ายขัดขวางกุมอำนาจในระบอบเผด็จการรัฐสภาของคุณประยุทธ์ไว้ทั้งหมด การช่วงชิงความยอมรับทางสังคมจึงเป็นหัวใจของชัยชนะอำนาจในบั้นปลาย

พลังของประชาชนในการต่อสู้กับเผด็จการคือมวลชน แต่การเมืองมวลชนไม่ได้มีความหมายแค่การเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุม หากยังหมายถึงการเพิ่มผู้สนับสนุนที่ไม่ได้มาชุมนุม และทำให้กองหนุนเผด็จการลดลงให้มากที่สุด หรือพูดสั้นๆ คือเพิ่มแนวร่วมให้มากขึ้น-โดดเดี่ยวฝ่ายตรงข้ามให้อ่อนแอลง

ไม่มีใครบอกได้ว่าประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนจะได้นับหนึ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ในเดือนตุลาคมนี้ดูเหมือนรัฐมียุทธวิธีชัดเจนขึ้นในการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือต่อต้านกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ต่อให้ในความเป็นจริงแล้วการยุติเผด็จการรัฐสภาจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสถาบันเลยก็ตาม

การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศจากระบอบเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยกำลังเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในช่วงนี้จะมีผลต่ออนาคตของประเทศและประชาชนไทยในระยะยาว