ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
ที่ผ่านมาโอบามาปฏิเสธที่จะให้ไฟเขียวกับฝ่ายกลาโหมให้ใช้คอมมานโดเข้าจู่โจมในเยเมน และปล่อยการตัดสินใจให้กับผู้ที่ตามหลังเข้ามา ซาอุดีอาระเบียซึ่งสนับสนุนรัฐบาลเยเมนได้กล่าวในสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ว่าจะไม่อนุญาตให้กองกำลังพิเศษของสหรัฐเข้าจู่โจมในพื้นแผ่นดินของตนเองต่อไปอีก
หลังจากภาพอันน่าสยดสยองของเด็กๆ ผู้ถูกสังหารและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่จบลงด้วยความตายในที่สุดได้รับการตีพิมพ์ออกไปในพื้นที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของเยเมน อับดุลมาลิกอัล-เมกลาฟี (Abdulmalik al-Mekhlafi) กล่าวว่า การโจมตีของสหรัฐเป็นการฆ่าที่อยู่เหนือกฎหมาย
โฆษกทำเนียบขาวกล่าวถึงการบุกถล่มในเยเมนว่า “ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมาก”
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปการถล่มในเยเมนของสหรัฐถูกมองว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีนักของทรัมป์ในเอเชียตะวันตกหรือตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ การแบนชาวมุสลิมเจ็ดประเทศไม่อาจกระทำได้อย่างง่ายๆ องค์กรต่างๆ ซึ่งทำงานด้านเสรีภาพของพลเมืองและส่วนหนึ่งของผู้ลี้ภัยรวมทั้งกลุ่มฝ่ายซ้ายและกลุ่ม Black Lives Matter and Occupy สามารถรวมผู้คนได้จำนวนมากที่สนามบินนานาชาติ John F. Kennedy ในนิวยอร์กไปจนถึงสนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก
ทั้งนี้ ฝูงชนได้ตะโกนว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” และ “ไม่ใช่ประธานาธิบดีของฉัน”
มันเป็นการเดินขบวนที่มีพลังเท่ากับเป็นการยืนยันว่าคำสั่งของทรัมป์จะไม่มีทางผ่านไปโดยไม่มีการท้าทาย
ในช่วงเวลาหลังจากคำสั่งนี้ออกไป วีซ่านับร้อยถูกยกเลิกอย่างชุลมุนวุ่นวาย ภายในหนึ่งนาทีไม่มีใครจากเจ็ดประเทศได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินไปสหรัฐ แต่ในนาทีต่อมาผู้คนได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินได้ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็คือนิยามการบริหารของทรัมป์
นักการเมืองจากพรรคเดโมแครตต่างก็เร่งรีบมาที่สนามบินเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วง วุฒิสภา Elizabeth Warren เดินทางไปสนามบินบอสตันพร้อมกับกล่าวว่า “เราจะทำให้เสียงของเราได้ยินไปทั่วโลก”
เราจะไม่หันหลังให้เด็กๆ เราจะจะไม่หันหลังให้ครอบครัวทั้งหลาย เราจะไม่หันหลังให้ใครอันเนื่องมาจากศาสนาของพวกเขา
เป็นที่รับรู้กันว่าค่านิยมหลักที่ปรากฏให้เห็น “ความคิดอเมริกา” ประกอบไปด้วยสิ่งดังต่อไปนี้คือ เสรีภาพของปัจเจกในขณะที่ให้ความเคารพและให้การสนับสนุนความเท่าเทียมกันของชาวอเมริกันทุกคน
ความเป็นเอกภาพของชาติในขณะที่รักษาและปกป้องความหลากหลายของประชาชนที่เต็มไปด้วยผู้อพยพที่มาจากทั่วโลกเอาไว้
ความมุ่งมั่นและการยืนยันที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายในขณะที่มีความมั่นใจว่ากฎหมายของชาติเป็นกฎหมายจริยธรรม
สนับสนุนการมีความรุ่งเรืองร่วมกันในขณะที่ปกป้องสิทธิของปัจเจกชนในการเข้าถึงความรุ่งเรืองดังกล่าว
ไม่เหมือนกับประเทศใดๆ ในยุโรป เอเชีย หรือแอฟริกา สหรัฐเป็นชาติที่ผู้คนจากทั่วโลกเลือกที่จะมาเป็นชาวอเมริกัน แม้แต่ผู้ที่มิได้ถือกำเนิดในสหรัฐเองก็สามารถย้อนกลับไปยังบรรพบุรุษของผู้อพยพที่เลือกมายังสหรัฐได้ ยกเว้นพวกทาสซึ่งถูกบังคับให้มาอยู่ทวีปนี้
ด้วยเหตุนี้ประวัติศาสตร์สหรัฐและการเมืองที่มีความเป็นพลวัต รวมทั้งการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งปี 2016 จึงควรได้รับความเข้าใจหรือวิเคราะห์ถึงผลที่ตามมา
ในการตรวจตราปัญหาที่เผชิญอยู่กับสหรัฐเวลานี้ นอกจากเรื่องอื่นๆ แล้ว ทรัมป์ได้มุ่งความสนใจไปที่หนี้สินซึ่งสหรัฐมีมากขึ้น และการขาดดุลงบประมาณ ชายแดนที่ไม่มั่นคงกับเม็กซิโก การคุกคามจากดาอิชห์หรือไอเอส ข้อตกลงกับจีนในทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและผู้หวาดกลัวคนต่างชาติฝ่ายขวาชาวสหรัฐซึ่งคิดว่าพวกเขาถูกทอดทิ้งหรือสูญเสียสิทธิ์ในพื้นที่ของพวกเขาในเวลานี้ไป
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องอยู่กับประชาชนสหรัฐเอง ที่แตกต่างไปก็คือผู้สมัครประธานาธิบดีอย่างทรัมป์ยังไม่เคยมีตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งและไม่มีประสบการณ์ในการเป็นรัฐบาลมาก่อนเลย เขาได้แต่บอกครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะทำให้สหรัฐยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ทรัมป์ยังไม่เคยกล่าวอะไรที่มีความหมายเกี่ยวกับบันทึกทางด้านสุขภาพของเขาเลย ซึ่งตัวทรัมป์เองนั้นเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดตั้งแต่มีการเลือกตั้งมา
ทรัมป์เป็นผู้เชิญชวนให้มีการแบนชาวมุสลิมมิให้เข้าสหรัฐและบังคับให้มีการลงทะเบียนชาวมุสลิมสหรัฐและให้จับตามองอิสลาโมโฟเบีย เขาอ้างอย่างผิดๆ ว่าชาวมุสลิมสหรัฐในนิวเจอร์ซีย์ (New Jersey) ได้เฉลิมฉลองหลังจากมีเหตุการณ์การโจมตีที่น่าขมขื่นที่เรียกกันว่า 9/11 เพื่อต่อต้านสหรัฐในปี 2001
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังข่มขู่นักวิพากษ์วิจารณ์พรรครีพับลิกันเองให้หยุดวิพากษ์ตัวเขาหรือไม่ก็ต้องจ่ายด้วยราคาแพง
ทรัมป์ได้นำเอาการเหยียดชาติ อิสลาโมโฟเบียและความวุ่นวายทางสังคมมาเป็นกระแสหลัก ในการรณรงค์เพื่อตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาและสนับสนุนนโยบายสหรัฐต้องมาก่อน เขาได้รับการสนับสนุนจาก David Buke ของกลุ่มคลู คลัก แคลน (Ku Klux Clan) ที่เน้นความเป็นใหญ่ของคนขาว
อิสลาโมโฟเบียในรูปของความมีอคติและการเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม ได้พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐ นับตั้งแต่เกิดการโจมตีสหรัฐในปี 2001 ที่เรียกกันว่า 9/11
ความคิดนี้ยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้และยิ่งดูเลวร้ายลงไปอีกในปีที่ผ่านๆ มา อันเนื่องมาจากปัจจัยบางประการ อย่างเช่น การเข้าไปพัวพันทางทหารของสหรัฐในตะวันออกกลาง การเสนอภาพของชาวมุสลิมในสื่อที่เป็นไปในทางลบ การแพร่ขยายโวหารต่อต้านชาวมุสลิม รวมทั้งการขาดความเข้าใจในตัวของศาสนาอิสลามเอง
ผลที่ตามมาจึงเป็นที่ประจักษ์ว่าการใช้ชีวิตของชาวมุสลิมในสังคมสหรัฐทุกวันนี้จะมีความแตกต่างกับชีวิตที่เคยเป็นเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา อันเป็นช่วงระยะเวลาก่อนที่โศกนาฏกรรม 9/11 จะเกิดขึ้น
ในเวลานี้เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้เห็นว่าชาวมุสลิมใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและความรู้สึกนี้ได้ผ่านจากเพื่อนสู่เพื่อนของชาวมุสลิมในสื่อสังคม จากอิหม่ามไปยังผู้มาร่วมละหมาด
จากกลุ่มต่างๆ ของชาวมุสลิมไปยังสมาชิกของพวกเขา จากผู้ปกครองไปยังลูกหลานที่มุ่งไปโรงเรียน
ในสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเขายืนห่างจากชานชาลาด้านหน้าโดยเลือกที่จะเอาหลังอิงกำแพง เดินเป็นกลุ่มๆ หลังจากความมืดมาเยือน พวกเขาต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว
ในช่วงที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีปารีสในปี 2014 ชาวมุสลิมในสหรัฐซึ่งอยู่ในเมืองใหญ่ๆ และเมืองอื่นๆ ต้องคอยปกป้องความรุนแรงที่จะมาถึงพวกเขา คอยเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางและพยายามบริหารความหวาดกลัวของพวกเขา กระนั้นความรุนแรงก็มาถึงพวกเขาจนได้
เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่าชาวมุสลิมหลายคนในนิวยอร์ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมผมได้ตกเป็นเหยื่อของการถูกด่าทอและการจู่โจมทางกาย แม้แต่คนที่ไม่ใช่มุสลิม รวมทั้งชาวละตินที่ถูกเข้าใจว่าเป็นชาวมุสลิมก็ตกเป็นผู้ได้รับการเหน็บแนม อันแสดงให้เห็นถึงอาการของอิสลาโมโฟเบีย (Islamophobia)
สภาเพื่อความสัมพันธ์อเมริกันอิสลาม (Council on American – Islamic Relation) หรือ CAIR ได้รายงานว่าหญิงชาวมุสลิมสองคนที่ Bedford-Stuyvesant แห่ง Bruklyn กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าทำงานการไปรษณีย์ได้เข้าจู่โจมพวกเธอด้วยการตีศอกและถ่มน้ำลายที่หน้าและบอกพวกเธอว่าเขาจะไปเผา “วัด” ของพวกเธอ (ดู NY Times News entry “Im Frightened : After Attacks in Paris New York Muslims Cope with a backlash”, in http//www.nytimes.com/2015/11/25/nyregion/Im-frightened-after-paris-terrorist-attacks-new-york-city-muslims-cope-with-a-backlash.html?r=o, retrived on 25.11.2015)
กล่าวสั้นๆ ก็คือ สหรัฐมิใช่ที่ปลอดภัยสำหรับชาวมุสลิมที่จะอยู่อาศัยอีกต่อไปในเมื่อคนสหรัฐที่ไม่ใช่มุสลิมยังรู้สึกกังวลและหวาดกลัวการอยู่ในประเทศนี้
โพลซึ่งจัดทำขึ้นโดย Public Policy Polling ที่ North Carolina แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 40 ของชาวสหรัฐรู้สึกว่าอิสลามและการปฏิบัติของศาสนานี้ควรจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายในสหรัฐ อีกร้อยละ 40 กล่าวว่า ควรเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่ร้อยละ 20 กล่าวว่า ไม่มั่นใจ
ผู้ให้การตอบรับส่วนใหญ่จะได้ยินเรื่องราวของชาวมุสลิมในบริบทของความโกลาหล สงครามและการทำลายล้างอันเป็นภาพที่ต่างไปจากความเป็นจริงที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในโลกดำรงอยู่