ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม - 3 กันยายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | หน้า8 |
เผยแพร่ |
ใครจะไปคิดว่า “เรือดำน้ำ” ที่เอาไว้เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศจะแปลงกายเป็น “ขีปนาวุธ” รุ่น “บูมเมอแรง” พุ่งย้อนกลับไปหารัฐบาล
ทันทีที่เข้ากรรมาธิการงบประมาณ
ในทางการเมืองเรื่องการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” เป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่ตอนเป็นรัฐบาล คสช.
คิดง่ายๆ ว่า เรื่องที่เป็น “ภาพลบ” ที่สุดของรัฐบาล “ลุงตู่” ที่พูดถึงทีไรสามารถเรียกเสียงโห่และเสียงฮาได้ทุกครั้ง
มีเพียง 2 เรื่อง
คือ เรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
กับเรื่อง “เรือดำน้ำ”
ไม่แปลกที่งบฯ การจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ลำที่ 2-3 จะเรียกเสียงต้านจากทุกสารทิศ
เพราะในวันที่เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก
รัฐบาลต้องกู้เงินมาพยุงเศรษฐกิจมากที่สุดในประวัติศาสตร์
2 ล้านล้านบาท
แต่แทนที่จะเอาเงินไปช่วยชาวบ้านหรือทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
กลับเอาเงินไปซื้อ “เรือดำน้ำ”
เป็นที่รู้กันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่ารายจ่ายของรัฐที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทางเศรษฐกิจเลย คืองบฯ ซื้ออาวุธ
แต่วันนี้วันที่รัฐบาลกระเป๋าขาด
กลับจะซื้อ “เรือดำน้ำ” 22,500 ล้านบาท
แม้จะแบ่งจ่าย 7 ปี ปีละประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทก็ตาม
อาการดันทุรังแบบนี้เองที่ทำให้ “เรือดำน้ำ” ที่อยู่ใต้น้ำ
กลายเป็น “บูมเมอแรง” ติดระเบิดไปในทันที
ความจำเป็นของประเทศไทยที่ต้องมี “เรือดำน้ำ” นั้นมีเหตุผลที่รับฟังได้
เพราะรายได้จากการส่งออกสินค้าผ่านเรือเดินทะเลนั้นมีมูลค่าสูงมาก
ถ้าเรามี “เรือดำน้ำ” ก็จะทำให้แสนยานุภาพทางทะเลของเราน่าเกรงขามมากขึ้น
ไม่ได้ใช้วันนี้ แต่จะใช้เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น
เหมือนกับการซื้อ “ประกันชีวิต”
แต่คำถามก็คือ เราควรซื้อวันนี้หรือไม่
เวลาที่เหมาะสมของการซื้อประกันชีวิต “เรือดำน้ำ” คือตอนไหน
คำตอบชัดๆ ก็คือ ตอนที่เศรษฐกิจดี
ไม่ใช่วันที่คนไทยตูดขาด
ถ้าถามนักธุรกิจเรื่องนี้เขาจะเข้าใจดี
เพราะตอนเศรษฐกิจแย่ๆ ไม่มีรายได้
สิ่งแรกๆ ที่เขาทำคือ การเลิกจ่ายเบี้ยประกันชีวิต
เก็บเงินสดไว้ใช้ดีกว่า
เรื่อง “เรือดำน้ำ” นี้ ถ้ารัฐบาลเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาและการใช้เงินไม่เป็น
ก็สมควรลาออกได้แล้ว