ดำไม่โผล่

ใครจะไปคิดว่า “เรือดำน้ำ” ที่เอาไว้เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศจะแปลงกายเป็น “ขีปนาวุธ” รุ่น “บูมเมอแรง” พุ่งย้อนกลับไปหารัฐบาล

ทันทีที่เข้ากรรมาธิการงบประมาณ

ในทางการเมืองเรื่องการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” เป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่ตอนเป็นรัฐบาล คสช.

คิดง่ายๆ ว่า เรื่องที่เป็น “ภาพลบ” ที่สุดของรัฐบาล “ลุงตู่” ที่พูดถึงทีไรสามารถเรียกเสียงโห่และเสียงฮาได้ทุกครั้ง

มีเพียง 2 เรื่อง

คือ เรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

กับเรื่อง “เรือดำน้ำ”

ไม่แปลกที่งบฯ การจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ลำที่ 2-3 จะเรียกเสียงต้านจากทุกสารทิศ

เพราะในวันที่เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก

รัฐบาลต้องกู้เงินมาพยุงเศรษฐกิจมากที่สุดในประวัติศาสตร์

2 ล้านล้านบาท

แต่แทนที่จะเอาเงินไปช่วยชาวบ้านหรือทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กลับเอาเงินไปซื้อ “เรือดำน้ำ”

เป็นที่รู้กันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่ารายจ่ายของรัฐที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทางเศรษฐกิจเลย คืองบฯ ซื้ออาวุธ

แต่วันนี้วันที่รัฐบาลกระเป๋าขาด

กลับจะซื้อ “เรือดำน้ำ” 22,500 ล้านบาท

แม้จะแบ่งจ่าย 7 ปี ปีละประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทก็ตาม

อาการดันทุรังแบบนี้เองที่ทำให้ “เรือดำน้ำ” ที่อยู่ใต้น้ำ

กลายเป็น “บูมเมอแรง” ติดระเบิดไปในทันที

ความจำเป็นของประเทศไทยที่ต้องมี “เรือดำน้ำ” นั้นมีเหตุผลที่รับฟังได้

เพราะรายได้จากการส่งออกสินค้าผ่านเรือเดินทะเลนั้นมีมูลค่าสูงมาก

ถ้าเรามี “เรือดำน้ำ” ก็จะทำให้แสนยานุภาพทางทะเลของเราน่าเกรงขามมากขึ้น

ไม่ได้ใช้วันนี้ แต่จะใช้เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น

เหมือนกับการซื้อ “ประกันชีวิต”

แต่คำถามก็คือ เราควรซื้อวันนี้หรือไม่

เวลาที่เหมาะสมของการซื้อประกันชีวิต “เรือดำน้ำ” คือตอนไหน

คำตอบชัดๆ ก็คือ ตอนที่เศรษฐกิจดี

ไม่ใช่วันที่คนไทยตูดขาด

ถ้าถามนักธุรกิจเรื่องนี้เขาจะเข้าใจดี

เพราะตอนเศรษฐกิจแย่ๆ ไม่มีรายได้

สิ่งแรกๆ ที่เขาทำคือ การเลิกจ่ายเบี้ยประกันชีวิต

เก็บเงินสดไว้ใช้ดีกว่า

เรื่อง “เรือดำน้ำ” นี้ ถ้ารัฐบาลเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาและการใช้เงินไม่เป็น

ก็สมควรลาออกได้แล้ว