ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
“เบื่อหน่ายกับประเทศนี้ที่เราไม่สามารถทำหนังที่เราอยากพูดได้ตรงๆ โดยที่ไม่ต้องหลีกหนีไปใช้ภาษาภาพยนตร์หรือในเชิงสัญลักษณ์หรือว่าอุปมาอุปไมย คืออยากทำอะไรที่มันตรงๆ แล้ว โดยเฉพาะช่วงที่มันไม่เป็นประชาธิปไตยในหลายปีที่ผ่านมา”
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
ให้สัมภาษณ์กับหอภาพยนตร์ฯ
28 พฤษภาคม 2563
“อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล” กล่าวคำพูดข้างต้นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ เวลานั้น เขาคงได้ตระหนักถึงการก่อตัวของม็อบคนรุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2563 แต่ยังไม่ได้สัมผัสถึงการขยายขนาดมวลชนเป็นกลุ่มเยาวชนปลดแอกและคณะประชาชนปลดแอกตลอดช่วงราวๆ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาที่จะพูดอะไรตรงๆ โดยหลีกหนีกระบวนท่าชั้นเชิงทางสัญลักษณ์และการอุปมาอุปไมยของอภิชาติพงศ์ กลับกลายเป็นบทสนทนาซึ่งสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนกับกลุ่มเยาวชน/ประชาชนปลดแอก และม็อบนักเรียน-นิสิต-นักศึกษา จากสถาบันการศึกษาต่างๆ ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2563 ได้เป็นอย่างดี
นับจากเหตุรัฐประหาร 2549 เหตุการณ์ความรุนแรงปี 2553 การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. มาจนถึงการรัฐประหาร 2557 ดูเหมือนวงการภาพยนตร์ไทย ทั้งในระดับอุตสาหกรรม ตลอดจนแวดวงหนังอิสระ-หนังสั้น จะออกเดินล้ำหน้ากลุ่มผู้บริโภคหลักของตนเอง คือ คนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่ ไปพอสมควร
เพราะในขณะที่มีหนังไทยจำนวนหนึ่งพยายามพูดถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปไตย ผ่านนิทานเปรียบเทียบ-ระบบสัญลักษณ์อันซับซ้อน แนบเนียน และนุ่มนวล ซึ่งช่วยรับประกันความปลอดภัยให้แก่คนทำงาน
คนหนุ่มสาวในเมืองจำนวนมากกลับยังไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นทางการเมือง ทั้งยังมีไม่น้อยซึ่งแสดงท่าทีต่อต้านประชาธิปไตยตามรอยคนรุ่นพ่อ-แม่
สถานการณ์ใน พ.ศ.2563 บ่งชี้ว่าอุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ และปฏิบัติการของคนรุ่นใหม่ (เกือบยกรุ่น) ในยุคปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสำคัญ จนสามารถกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้นั้นก้าวเท้าแซงหน้า “วัฒนธรรม/อุตสาหกรรมบันเทิงร่วมสมัย” อันมี “ภาพยนตร์ไทย” เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ไปเรียบร้อยแล้ว
มาตรวัดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ ขณะที่เนื้อหาในทางสังคมการเมืองของหนังไทยยังคงติดหล่มหรือกับดักของความคลุมเครือ ปฏิบัติการบางอย่างที่คนดูหนังได้ร่วมกันก่อขึ้นโดยมิได้นัดหมายในโรงภาพยนตร์ตลอดช่วงเวลาราวหนึ่งปีที่ผ่านมา กลับเชื่อมโยงไปถึงภาวะพลิกผันนอกโรงภาพยนตร์ได้สนิทแนบแน่นกว่า
แน่นอน สภาวการณ์เช่นนี้ได้ทิ้งความท้าทายบางประการไว้ให้คนทำหนังไทย ณ เบื้องหลัง ร่วมกันขบคิด
ประการแรก กระบวนท่าเชิงสัญลักษณ์ที่ดำรงอยู่ในแวดวงหนังไทยตลอดทศวรรษ 2550 เคียงคู่กับการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์บนท้องถนน ที่ริเริ่มโดยนักกิจกรรม-คนเสื้อแดงบางส่วน เช่น สมบัติ บุญงามอนงค์ (บ.ก.ลายจุด) อาจกำลังดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ
ด้านหนึ่ง เมื่อการต่อสู้บนท้องถนนในยุคต้นทศวรรษ 2560 มีลักษณะของการพูดถึงความต้องการและปัญหาต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์มากขึ้น นี่ก็อาจเปิดเส้นทางใหม่ๆ ให้แก่คนทำหนังไทยที่อยากสื่อสารประเด็นทางการเมือง
เป็นเส้นทางใหม่ซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของผู้กำกับฯ รางวัลปาล์มทองคำเช่นอภิชาติพงศ์
อีกด้านหนึ่ง ต่อให้วงการหนังไทยใน/หลังยุค “เยาวชนปลดแอก” จะยังก้าวข้ามเซฟโซนของระบบสัญลักษณ์-อุปมาอุปไมยไปไม่พ้น
ทว่ากระบวนการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่ายมากขึ้น เข้าถึงมวลชนวงกว้างทั่วประเทศได้มากขึ้น อาทิ การผูกโบขาวต้านเผด็จการ และการชูสามนิ้วระหว่างเข้าแถวเคารพธงชาติของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ณ พ.ศ.นี้ อาจเป็นกลไกที่ช่วยบีบให้นิทานเปรียบเทียบทางการเมืองในภาพยนตร์ไทย ต้องมีความ “นิช” และมีลักษณะอินดี้เฉพาะกลุ่มลดน้อยลง
ประการที่สอง อาจถึงคราวที่ “ตัวละครวัยรุ่น” ในหนังไทยร่วมสมัย จะต้องมีลักษณะเป็น “บุคลาธิษฐาน” (“วัยรุ่น” คือสิ่งไม่มีชีวิตที่ถูกสร้างให้มีชีวิตชีวาโดยผู้กำกับฯ-ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ซึ่งพยายามคาดคิดจินตนาการว่า “วัยรุ่นจริงๆ” ควรจะเป็นเช่นไร) น้อยลง และเป็น “วัยรุ่นจริง” แบบคนรุ่นใหม่บนท้องถนนมากยิ่งขึ้น
ตัวละคร “วัยรุ่น” ซึ่งรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของตนเอง แล้วลงเอยด้วยอาการกลับไม่ได้ไปไม่ถึงหรือเคว้งคว้างล่องลอยอยู่ในสังคมอันไร้หลักยึดเหนี่ยว ตัวละคร “วัยรุ่น” ซึ่งเสียงของตนเองถูกกดทับทั้งโดยระบอบเผด็จการและประชาธิปไตยจำแลง อาจมิได้เป็นภาพแทนของ “วัยรุ่นไทยจริงๆ” ที่น่าพึงพอใจที่สุดอีกต่อไป
ในภาวะที่ “วัยรุ่นไทย” ณ โลกความจริง พร้อมจะเปิดหน้าต่อสู้กับครู-ผู้ใหญ่-อำนาจรัฐ-ค่านิยมความเชื่อดั้งเดิม ที่กดทับพวกเขามาเนิ่นนาน
ในภาวะที่ “วัยรุ่นไทย” มีความรู้ ผ่านแหล่งข้อมูลอันหลากหลายมหาศาล มิใช่คนรุ่นหลังที่งุนงงหลงทางอยู่ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน
ในภาวะที่ความต้องการ-ความปรารถนาดี-ความใฝ่ฝันของ “วัยรุ่นไทย” ถูกประกาศออกมาอย่างชัดเจน เปิดเผย ไม่คลุมเครือ ไม่ต้องตีความให้มากมาย
คนทำภาพยนตร์ไทยจำเป็นต้องสืบค้นว่า “วัยรุ่นไทยจริงๆ” ในยุคปัจจุบัน นั้นกำลังดูอะไร ฟังอะไร อ่านอะไร พิมพ์อะไร และอยากพูดอะไร
และปฏิบัติการทางสังคมเหล่านั้นได้ก้าวล้ำพฤติการณ์สมมุติของ “ตัวละครวัยรุ่น” ในหนังไทยไปมากมายแค่ไหน
(เช่นเดียวกับการต้องศึกษาว่าการใช้ “ทวิตเตอร์” เป็นเครื่องมือระดมพลและเผยแพร่ความคิดทางการเมืองในโลกความจริงนั้น ก้าวหน้าและมีพลังบวกมากกว่าภาพแทนหม่นๆ ของ “โซเชียลมีเดีย” ในภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่เพียงใด)
ประการสุดท้าย (ซึ่งไม่ใช่ท้ายสุด) มีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนรุ่นที่น่าสนใจของดารา-นักแสดง
การแสดงจุดยืนทางการเมืองของดารา-นักแสดงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เหนือความคาดหมาย แต่หากย้อนไปเมื่อทศวรรษก่อน หลายคนคงไม่เชื่อว่าจะมีบุคลากรหลักๆ ในวงการบันเทิงจำนวนมาก ที่กล้าประกาศจุดยืนอยู่เคียงข้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยและท้าทายอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม
สวนทางกับสภาวะปัจจุบัน ที่ดารา-นักแสดงรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย กล้า/สามารถจะแสดงจุดยืนดังกล่าวได้โดยเปิดเผย ขณะที่ดารา-นักแสดงรุ่นอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ซึ่งเคยแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างหนักแน่น นั้นกำลังโรยราอิทธิพลชื่อเสียงและไม่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ มากขึ้นทุกที
นั่นอาจหมายความว่าภาพยนตร์ไทยที่ตั้งใจพูดเรื่องการเมืองอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น และสามารถสะท้อนภาพของ “วัยรุ่นไทย” ได้อย่างสมจริงมากขึ้น จะไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรนักแสดง
นี่คือความท้าทายบางส่วนที่คนรุ่นใหม่ซึ่งกระตือรือร้นทางการเมืองร่วมเพาะปลูกขึ้น และย่อมผลิดอกออกผลเป็น “ภาพยนตร์ไทยยุคใหม่” ในไม่ช้า