วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร / ชายชุดดำ จู่โจม เรือนเสวี่ยหลู (57)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ชายชุดดำ จู่โจม เรือนเสวี่ยหลู (57)

 

เป็นเวลาค่ำมืดอันเซียวจิ่งรุ่ยเพิ่งกลับจากภายนอก เป็นเวลาค่ำมืดอันเซียวจิ่งรุ่ยมุ่งหน้าไปยังเรือนเสวี่ยหลูเพื่อต้องการสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งเหมยฉางซูเพิ่งประสบ

พอถึงประตูโถงรับแขกค่อยพบด้านในดับไฟมืดสนิท

เห็นเรือนที่มืดและเงาไม้ในรัตติกาล ความรู้สึกวังเวงยิ่งแจ่มชัด หมุนกายเดินไปทางเดินมุ่งหน้ากลับสู่ห้องพักของตัวเอง

ลมหนาวกลางดึกพัดโชย อากาศชื้นเย็นอบอวล

คาดว่าไม่ช้าคงมีหิมะโปรยปราย ฝีเท้าที่ก้าวเดินยิ่งมายิ่งเอื่อยช้า เพิ่งอ้อมผ่านภูเขาจำลองมาได้เล็กน้อยรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า

ยกมือคลำ ที่แท้เป็นหยดน้ำ

แหงนหน้ากวาดมองท้องนภา ครื้มดำเป็นแผ่นผืน ไม่ปรากฏสิ่งใดในครรลองสายตา ทว่า ผิวหนังและจมูกกลับรับรู้ได้ก่อนดวงตา

พลันพบว่าเกล็ดหิมะเริ่มพัดพลิ้วบางเบา

ชั่วขณะที่กำลังย่างเท้าเดิน หางตาพลันเหลือบเห็นเงาดำโฉบผ่านวูบหนึ่งอย่างรวดเร็วคล้ายกับเป็นภาพหลอน

กระทั่งตั้งสติหันไปจับตาให้เต็มตาอีกครั้งกลับไม่พบความเคลื่อนไหวใด

 

เซียวจิ่งรุ่ยชะงักอากัปกิริยา หยุดยืนเงียบๆ ด้านหลังภูเขาจำลองก่อนเพ่งสายตาไปที่เรือนเสวี่ยหลูผ่านช่องว่างระหว่างกองหินซ้อนสูง

ไม่ถึงอึดใจ ปรากฏเงาดำสายหนึ่งวูบผ่าน

เพราะรวบรวมสมาธิเพ่งมองจึงเห็นอย่างชัดตา เงาดำโผล่มาจากกำแพงด้านตะวันออกของเรือนเสวี่ยหลูก่อนกระโดดไปหมอบนิ่งอยู่บนสันหลังคา ถัดจากนั้นร่างที่ 2 ก็ปรากฏ วนเวียนเช่นนี้ติดต่อกันหลายครั้ง สุดท้ายนับได้เกือบ 10 คน

พลันหน้าต่างห้องฝั่งตะวันตกของเรือนเสวี่ยหลูก็วูบไหวขึ้นคราหนึ่ง

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่หน้าต่างวูบไหวบนหลังคาก็เกิดเสียงดังทึบก่อนคนผู้หนึ่งร่วงลงกลางลานสวน ภายใต้ม่านรัตติกาลไม่ทราบปรากฏเงาร่างผอมสูงเพิ่มขึ้นสายหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด พลิ้ววูบดังภูตพรายคุกคามใส่เงาดำหลายสายที่เหลือให้ล่าถอยกลับไป

สภาพการปัดป้อง ต้านทาน ทุลักทุเลยิ่งนัก

พริบตาถัดมาพลันต้องแข็งค้าง เพราะปรากฏผู้บุกรุกอีกกลุ่มหนึ่งบนกำแพงด้านใต้ เห็นเช่นนั้นเซียวจิ่งรุ่ยไม่เสียเวลาขบคิด ทะยานออกไปพร้อมตวาดก้อง

“ผู้ใดบังอาจบุกรุกจวนตระกูลเซี่ยยามวิกาล”

 

หัวหน้าคนร้ายแม้ตัดสินใจเฉียบขาด โบกมือคราหนึ่งบอกใบ้ให้ 2 คนไปสกัด ตัวเองและสมุนที่เหลือพุ่งปราดไปยังห้องพักเหมยฉางซู

แม้ตัดสินใจเฉียบขาด ทว่ากลับคำนวณพลาดไป 2 ประการ

ประการที่หนึ่ง ประเมินพลังฝีมือเซียวจิ่งรุ่ย แค่กระบวนท่าที่สาม คนชุดดำ 2 คนก็ถูกช่วงชิงอาวุธไปได้ กระบวนท่าที่สี่ก็ล้มฟาดพื้นทั้ง 2 คน

มีประโยชน์แค่ลดทอนความเร็วในการขึ้นหน้าของเซียวจิ่งรุ่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ประการที่สอง ประเมินความดุดันของเฟยหลิวต่ำ เพราะเหมยฉางซูกำชับเฟยหลิวไว้ไม่ให้ทำร้ายคน สร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ชมดูที่คิดไม่ซื่อบางคนว่าเฟยหลิวแค่มีพลังฝีมือสูงสุดเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าในเวลาค่ำคืนเด็กหนุ่มผู้นี้กลับเป็นดั่งเทพสังหาร

แต่ละกระบวนท่ารุกฆาต ไม่มีการออมมือ จัดการกับคนที่รุมล้อมเข้ามาอย่างรวบรัด

ขณะเดียวกัน ทั้งเซียวจิ่งรุ่ย ทั้งเฟยหลิวก็คำนวณผิดพลาดเช่นกัน พวกเขาประเมินความสามารถของหัวหน้ากลุ่มคนร้ายต่ำทรามเกินไป หลังรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ตกเป็นรอง หัวหน้ากลุ่มคนร้ายพลันออกคำสั่งให้ทั้งหมดไปรับมือเฟยหลิว ส่วนตัวเองเผชิญหน้ากับคมดาบเซียวจิ่งรุ่ยตามลำพัง

ดาบคือดาบเหล็ก กระบวนท่ากลับเป็นกระบวนท่ากระบี่ ทว่าดาบเหล็กคล้อยตามสำนึกกระบี่ หัวหน้าคนร้ายขยับเท้ายักย้ายพลางใช้ข้อมือหุ้มเหล็กต้านรับเงาดาบอันคุกคามลงมาขณะเดียวกับที่เซียวจิ่งรุ่ยตบฟาดพลังฝ่ามือออกไปเต็มแรง

พลังฝ่ามือกระแทกใส่ช่องอก ร่างของฝ่ายตรงข้ามปลิวคว้างราวกับว่าวสายป่านขาด เซียวจิ่งรุ่ยไม่ทันถอนเก็บฝ่ามือหัวหน้าคนร้ายที่รับแรงฝ่ามืออย่างเต็มแรง ร่างกระแทกใส่บานประตูก่อนพุ่งปราดเข้าด้านในห้องพัก

เป็นห้องพักของเหมยฉางซู เป็นเหมยฉางซูที่ร่างกายอ่อนแอและไม่มีผู้ใดคอยคุ้มกันอย่างที่เคยคุ้มกัน

 

มองจากทางด้านของเซียวจิ่งรุ่ยย่อมมากด้วยความวิตก นึกไม่ถึงว่าการแทรกสอดเข้ามาสกัดขัดขวางของตนจะส่งผลเหนือความคาดหมาย

เพราะตระหนักว่าเฟยหลิวอยู่ภายนอก

เพราะตระหนักว่าคนร้ายมากด้วยฝีมือกำลังหลบหนีและถอยร่นเข้าไปในห้องซึ่งเหมยฉางซูอาศัยอยู่เพียงลำพัง

จะช่วยเหมยฉางซูจากสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างไร