ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
การเมืองฝรั่งเศสเข้าสู่ช่วงเวลาที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน หลังการ “สั่นสะเทือนครั้งใหญ่” ที่ส่งผลให้ไม่มีผู้สมัครทั้งจากพรรคแนวคิดฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาตามแบบแผนหลุดเข้ามาถึงรอบสุดท้ายของการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
โดยในวันที่ 7 พฤษภาคม ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง เอ็มมานูเอล มาคง นักการเมืองหน้าใหม่แนวคิดสายกลางผู้ไม่เคยดำรงตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งมาก่อน
และ มารีน เลอเปน นักประชานิยมแนวคิดขวาจัด ผู้ต่อต้านระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบเดิม
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่า มาคง วัย 39 ปี จะเอาชนะเลอเปน วัย 48 ปี อย่างสบายๆ ด้วยคะแนนเสียงที่ค่อนข้างห่าง
แต่เขาจะสามารถบริหารประเทศได้จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
มาคงแทบจะไม่เป็นที่รู้จักก่อนหน้าที่พี่เลี้ยงทางการเมืองของเขา ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ โอลลองด์ แห่งพรรคสังคมนิยมจะแต่งตั้งให้เขาให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ก่อนขยับมาเป็นรัฐมนตรีเศรษฐการในปี 2014
แต่ในช่วงเวลาที่โอลลองด์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเข้าสู่ปีที่ 5 ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายจนกลายเป็นผู้นำฝรั่งเศสที่ไม่เป็นที่นิยมมากที่สุดในยุคสมัยใหม่จากผลงานทางเศรษฐกิจที่หดหู่สิ้นหวัง ทำให้มาคงออกมาต่อสู้ด้วยตนเอง
มาคงประกาศจุดยืนทางการเมืองโดยระบุว่าตนเอง “ไม่ได้เป็นทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย” เขาหาเสียงเลือกตั้งโดยอยู่บนแนวคิดสนับสนุนการรวมตัวเป็นสหภาพยุโรป (อียู) และสนับสนุนการทำธุรกิจ
แต่ความน่าเชื่อถือของเขา อาทิ ประวัติการทำงานที่น้อยนิดและการมีส่วนร่วมในนโยบายที่ล้มเหลวของโอลลองด์ ทำให้มาคงอาจจะได้รับชัยชนะจากข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเองก็ไม่ได้ตระหนักว่า เขาไม่ใช่เลอเปน
เฟรเดริก ซาวิกกี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในกรุงปารีสของฝรั่งเศส ตั้งข้อสังเกตว่า “ความไม่กระตือรือร้น” ในหมู่ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนหนึ่งที่ลงคะแนนให้มาคงมีสาเหตุมาจากคนกลุ่มนี้จำนวนมากลงคะแนนเพื่อสกัดกั้นเลอเปน แต่ไม่ได้มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกับมาคง
2 สัปดาห์ที่เหลือก่อนหน้าการเลือกตั้งจะเป็นบททดสอบความสามารถที่ดีของมาคงในการนำเสนอตนเองมากกว่าการเป็นแค่ผู้มีแนวคิดโลกาภิวัตน์นิยม แต่เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีรุ่นใหม่ที่นำมาซึ่งความหวังที่สดใส
โดยทั่วไปแล้ว ประธานาธิบดีที่เพิ่งจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่สามารถไว้ใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ว่าจะสนับสนุนพรรคของตนให้ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา
แต่สำหรับทั้งมาคงและเลอเปน เรียกได้ว่าแทบจะต้องเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย หลังการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรกเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ที่หนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวัน เลส์ เซโกส์ ระบุว่าเป็น “บิ๊กแบง” หรือการกำเนิดจักรวาลใหม่
“อองมาร์ช” พรรคที่มาจากขบวนการเคลื่อนไหวของมาคงที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นใหม่ ไม่มีที่นั่งในรัฐสภาชุดที่กำลังจะหมดวาระแม้แต่ที่นั่งเดียว
ขณะที่พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (เอฟเอ็น) ของเลอเปน มีสมาชิกแค่ 2 คนจากจำนวน 577 ที่นั่งในรัฐสภา
อองมาร์ชระบุว่า จะส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาในทุกเขตเลือกตั้ง โดยครึ่งหนึ่งจะมาจากภาคประชาสังคมที่ตอนนี้ทางพรรคระบุว่าได้รับใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคแล้วมากกว่า 15,000 ฉบับ
โลรองซ์ ไอม์ โฆษกของมาคงเปิดเผยว่า มาคงต้องการเสียงข้างมากที่แข็งแกร่งเพื่อที่เขาจะได้ปฏิรูปประเทศโดยเร็ว แต่นอกจากสายเลือดใหม่แล้ว เขายังต้องการเสียงจากสมาชิกรัฐสภาชุดที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาในการสนับสนุนเขา
จนถึงตอนนี้มีสมาชิกพรรคสังคมนิยมราว 30 จาก 295 รายในรัฐสภาที่ประกาศสนับสนุนมาคง ขณะที่สมาชิกพรรคอื่นๆ ยังคงลังเล
ขณะเดียวกัน พรรคอนุรักษนิยมฝ่ายขวาจะฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วหลังความพ่ายแพ้แบบราบคาบของ ฟรองซัวส์ ฟียง ตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งติดหล่มจากกรณีอื้อฉาวเรื่อง “จ้างงานปลอม” โดยนักวิเคราะห์การเมืองหลายคนระบุว่าผู้ที่พ่ายแพ้ไม่ใช่พรรค แต่เป็นตัวของฟียง
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง มาคงถูกกล่าวหาจากฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นร่างทรงคนใกล้ชิดของโอลลองด์ โดยเรียกเขาว่า “เอ็มมานูเอล โอลลองด์” ซึ่งการถูกตีตราดังกล่าวอาจกลายเป็นความจริงขึ้นมา
นักวิเคราะห์ระบุว่า มาคงจะต้องละทิ้งจุดยืนสายกลางและหันมาอ้าแขนรับความเป็นกลางซ้ายหากต้องการชัยชนะได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา ขณะที่เลอเปนซึ่งมีโอกาสน้อยกว่ามากที่จะได้เป็นประธานาธิบดีอาจคาดหวังได้ว่าคะแนนเสียงของเธอจะแปรเปลี่ยนเป็นราว 20-50 ที่นั่งในรัฐสภา
ปาทริซ ชาบาเนต์ คอลัมนิสต์นักวิจารณ์การเมืองชื่อดังของฝรั่งเศสระบุไว้ในหนังสือพิมพ์ ฌูร์นัล เดอ ลา โอต-มาร์น ว่า ความโกรธเกรี้ยวของชาวฝรั่งเศสต่อระบบเดิมที่เป็นอยู่เป็นปัจจัยสำคัญในการมาถึงจุดนี้ของทั้งมาคงและเลอเปน
การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหลังจากนี้ถึงจะเป็นการแสดงให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเมืองที่แท้จริงของฝรั่งเศส