มนัส สัตยารักษ์ | ภาษาการเมือง

เห็นป้ายที่ 2 หนุ่มระยอง (ในนามเยาวชนภาคตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย) ถือโชว์ ประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่หน้าโรงแรมดีวารี มีข้อความว่า

“การ์ดอย่าตก พ่องง!” กับ “อยู่ต่อก็ฉิบหาย ออกไป ไอ้สัส”

ถ้าดูในคลิปที่ประมวลไว้ใน YouTube จะเห็นว่าแอดมินได้ทำเบลอร์จนลบเลือนที่คำว่า “พ่องง!” กับคำว่า “ไอ้สัส” คงจะเห็นว่าเป็นคำหยาบเกินไปที่จะใช้กับคนระดับนายกรัฐมนตรี

ในความเป็นจริงคำว่า “พ่องง” เป็นเสียงอ่านจากคำว่า “พ่อมึง” และคำว่า “ไอ้สัส” ก็มาจากคำว่า “ไอ้สัตว์” ซึ่งใช้พูดหรือเขียนกันทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่สนิทสนมกันไม่ถือว่าเป็นคำหยาบ แต่อาจจะกลายเป็นคำหยาบทันทีที่นำไปใช้ด่าฝ่ายตรงข้าม

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณนี้ก็คงเห็นเช่นเดียวกันว่า มันเป็นคำที่หยาบคายเกินไปสำหรับนำมาใช้ประท้วงนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาให้กำลังใจและขอโทษชาวระยองในเหตุการณ์ทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 ฝ่าฝืนมาตรการ ศบค.

เมื่อห้ามไม่สำเร็จ ตำรวจกับกลุ่มผู้ประท้วงจึงเกิด “วิวาทะ” กันขึ้น ในที่สุดตำรวจตัดบทรวบตัวการ 2 หนุ่มผลักขึ้นรถไปสถานีตำรวจ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และเพื่อความปลอดภัยบุคคลสำคัญตามหน้าที่ ขณะเดียวกันก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วย

แล้วสองฝ่ายก็กระทบกระทั่งกันจนกลายเป็น “สงครามปากทางการเมือง” เกิดขึ้น ต่างกล่าวหาฟ้องร้องกันชุลมุนเหมือนกับทุกเรื่องที่ผ่านมา

ลองสมมุติตัวเองว่าเป็นตำรวจระยอง ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเหตุการณ์ประท้วงนายกรัฐมนตรีที่มีคนถือป้ายใช้คำว่า “ไอ้สัส” ผมก็คงต้องตัดสินใจแบบเดียวกับตำรวจระยองในวันนั้น

ผิดหรือถูกค่อยว่ากันอีกที รักษาความสงบเรียบร้อยตามภาระหน้าที่ไว้ก่อน

ผมพยายามขบคิดและตรึกตรองว่า “พ่องง!” กับ “ไอ้สัส” 2 คำที่สื่อทำเบลอร์นั้นเป็นคำหยาบหรือเปล่า แต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นหรือไม่เป็น

ผมไม่ค่อยมั่นใจในความรู้ทางภาษาไทยของตัวเองมากนัก ด้วยว่าเคยสอบตกในวิชาเรียงความชั้นมัธยม 6 (พ.ศ.2496) และถูกอาจารย์ภาษาไทยประจานหน้าชั้น เนื่องจากใช้คำว่า “กเฬวราก” ในเรียงความตอนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนอาจารย์จะตำหนิว่าใช้คำหยาบ หรือใช้ภาษาพิสดาร ไม่มีคำแปลที่แน่ชัด อย่างใดอย่างหนึ่ง ผมไม่กล้าเถียงเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง ซ้ำยังเลือนๆ ไปแล้วว่าเอาคำนี้มาจากไหน รู้แต่ว่าน้ำเสียงมันบอกว่าเป็นการประณามอย่างรุนแรงเท่านั้น

ช่างบังเอิญ…ในขณะเขียนนี้ (ปี 2563) ลองเปิด Google ดู พบว่า

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 เวลา 07.00-07.30 น. แจงว่า คำว่า กเฬวราก มาจากภาษาบาลีว่า กเฬวร (อ่านว่า กะ เล วะ ระ) แปลว่าซากศพ

“หมายถึง คนไร้ประโยชน์ คนชั่ว คนเลว คนที่ชั่วและเลวจนคนทั่วไปรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงเหมือนที่ขยะแขยงซากศพ ตำรวจควรลากคอพวกกเฬวรากที่ปลุกปั่นให้คนไทยเกลียดชังกันไปเข้าคุกเข้าตะรางให้หมด สังคมจะน่าอยู่มากขึ้น…”

ขอบคุณ Google

ตามไปอ่านรายละเอียดของ “สงครามปาก” ที่อื้ออึงอยู่ในสังคมการเมืองและบริเวณสภาผู้แทนราษฎร เราจะเห็นได้ว่าทั้งฝ่ายผู้ประท้วงและฝ่ายตำรวจต่างมีความพร้อมพอสมควรสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ฝ่ายสอบสวนของตำรวจระยองได้ออกหมายเรียก 2 หนุ่มผู้ถือป้ายประท้วงมารับทราบ 4 ข้อหาที่ตั้งไว้ คือ

ทำกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค ตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558

ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน โดยไม่มีเหตุอันควร

และหลบหนีการจับกุมระหว่างสืบสวน

ฝ่ายเยาวชนระยองให้สัมภาษณ์ตอบโต้ทั้ง 4 ข้อหาได้อย่างมีเหตุผลพอสมควร

มีเสียงสนับสนุนจาก “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย” ว่า “เจ้าหน้าที่ไม่ควรปิดปากประชาชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างสงบ และมีการวางข้อจำกัดที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับการชุมนุมโดยสงบ”

ขณะเดียวกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต หน.พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งสื่อบางสายเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังม็อบเยาวชน กล่าวยืนยันว่า “2 หนุ่มชูป้าย ไม่ใช่คำหยาบ แต่เป็นความกล้าหาญ”

ในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อมีคำว่า “ม็อบมุ้งมิ้ง” เชิงวิพากษ์ม็อบเยาวชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝ่ายประท้วงกลับเป็นเดือดเป็นแค้นกว่าฝ่ายที่ถูกเรียกว่า “ไอ้สัส”

ผมไม่ค่อยมั่นใจในภาษาไทยมาตั้งแต่เด็ก เห็นทีจะต้องรอการชี้ชัดจากคำพิพากษาศาลฎีกา ว่า “ไอ้สัส” เป็นคำหยาบหรือไม่ เป็นคำดูหมิ่นผู้ถูกเรียกหรือไม่?

เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน มีเพื่อนนายตำรวจผู้หวังดีได้แชร์ “คำหยาบคาย” หรือ “คำด่า” 16 คำที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าผู้ใช้จะมีความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่น นอกจากนั้น ยังแชร์รายละเอียดในมิติต่างๆ ของข้อหาเหล่านี้ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เพื่อนตำรวจตกเป็นเหยื่อของผู้ประสงค์ร้าย

ใน 16 คำหยาบคาย มีคำว่า “อีสัตว์” อยู่ด้วย (ซึ่งผมให้น้ำหนักว่า มีความหยาบคายพอกันหรือเท่ากันกับคำว่า “ไอ้สัส”)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5257/2548 แจงว่า…คำด่า “อีเหี้ย อีสัตว์ อีควาย” นอกจากจะเป็นคำหยาบคายแล้ว ยังมีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบผู้ถูกด่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สี่เท้าอีกด้วย…จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์…

โทษไม่หนักหนาสาหัสก็จริง แต่ก็เป็นเงื่อนไขให้ตำรวจมีเหตุผลเพียงพอให้สามารถนำตัวผู้ประท้วงออกไปจากที่เกิดเหตุหรือออกห่างจากผู้ที่ตัวเองประสงค์จะด่าได้โดยชอบธรรม

นอกจากจะสอบตกในวิชาภาษาไทยเมื่อตอนเรียนมัธยม 6 แล้ว ในวัยของคนโบราณอายุ 84 ผมขอรับสารภาพว่าไม่ค่อยเข้าใจ “ภาษาการเมือง” คำใหม่ๆ ที่สื่อหรือนักการเมืองนำมาใช้กัน

ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “สลิ่ม” ผมอาจจะรู้คำแปลว่าเป็นชื่อขนมหวานหลายสี และรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำนี้ ความหมายก็คือ เป็นพวกไม่มีจุดยืน ไม่ใช่พวกสีแดงหรือพวกที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย ไม่ใช่พวกทักษิณ ไม่ใช่สีเหลืองที่หมายถึงพันธมิตรหรือพวกอนุรักษนิยม ไม่ใช่สีเขียวอันหมายถึงทหารหรือพวกเผด็จการ

แต่ผมก็ไม่รู้ว่า คำว่า “สลิ่ม” เป็นคำยกย่องบูชา หรือคำเยาะเย้ยถากถาง?!

ภาษากายก็เช่นกัน…ที่เขายกมือชู 3 นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง) โดยเก็บหัวแม่มือกับนิ้วก้อยไว้ ผมยอมรับว่าแปลไม่ออกและไม่รู้ความหมาย

อย่างไรก็ตาม ผมมีพรสวรรค์ในการ “อ่าน”

บางกรณีการอ่านของผมสามารถทำให้ผมมองเข้าไปเห็นความคิดและจิตใจของผู้เขียนหรือผู้พูดอย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียว!

ผมอ่านที่วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร เล่าเรื่อง “รัฐบาลประยุทธ์ 2/1 สู่ประยุทธ์ 2/2” มีข้อความที่ พล.อ.ประยุทธ์ไลน์ถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และข้อความที่พูดคุยทางโทรศัพท์

พล.อ.ประยุทธ์ไลน์ว่า “รู้สึกลำบากใจ รู้สึกแย่ ไม่รู้จะพูดต่อหน้าอย่างไร”

และเมื่อนายสมคิดตอบกลับทางโทรศัพท์ให้ พล.อ.ประยุทธ์หายรู้สึกลำบากใจและไม่รู้สึกแย่ เรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาคิดครู่หนึ่งแล้วตอบกลับทางโทรศัพท์

“ยังไงอาจารย์ก็อย่าทิ้งผมไป ขอให้อยู่ข้างหลังผมด้วย”

จากการเป็นนักอ่านที่มีพรสวรรค์ ผมมองทะลุเข้าไปเห็นจิตใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าท่านสงบสติอารมณ์ลงได้ แล้วใช้จิตวิทยาขั้นสูงในการประดิษฐ์ถ้อยคำในการไลน์

และฉลาดในการพูดโทรศัพท์ ซึ่งเท่ากับบอกให้ประชาชนรับทราบว่า นายสมคิดรับผิดชอบในกรณีที่จะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในอนาคต อย่างน้อยก็ด้วยการยืนอยู่ข้างหลังเพื่อรอรับและยันไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ล้มหงายเก๋ง