เผยแพร่ |
---|
ท่าทีของ “นักการเมือง” หลังประกาศและบังคับใช้ “รัฐธรรมนูญ” ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย
ไม่ว่าจะจาก”เพื่อไทย” ไม่ว่าจะจาก”ประชาธิปัตย์”
สัมผัสได้จากการเคลื่อนไหวของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ สัมผัสได้จากการเคลี่อนไหวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ต่าง “ขยับ” และ “ขับเคลื่อน”
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปยังจังหวัดนครพนม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปยังจังหวัดแพร่
เป็นการตรวจสอบ”ฐานเสียง”ทาง”การเมือง”
สำแดงความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมที่จะเดินเข้าสู่ “โหมด” ของ
“การเลือกตั้ง”
ไม่ว่า “กติกา” จะ”อัปลักษณ์”แค่ไหน
ท่าทีของ “นักการเมือง” เหล่านี้เหมือนกับพวกเขาอับจนหนทางและอยู่ในสภาวะที่ไม่มีทางเลือก
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตั้งแต่ยุครัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2501 ตั้งแต่ยุครัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514
ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2519
ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2520 ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเดือน กันยายน 2549
และที่สุดคือรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
สิ่งที่ “นักการเมือง”ปฏิบัติ ไม่ว่า “เพื่อไทย” ไม่ว่า”ประชาธิปัตย์” คือ
ยอมรับ และ รอคอย
1 ยอมรับว่าเกิดรัฐประหารขึ้นแล้ว ขณะเดียวกัน 1 รอคอยว่าคณะรัฐประหารจะทำอย่างไร
เมื่อ”รัฐธรรมนูญ”ออกมาก็เท่ากับเป็น “สัญญาณ”
ความหมายของ”สัญญาณ”ก็หมายความถึง “การเลือกตั้ง” จะหวนคืนมาอีกวาระหนึ่ง
ตรงนี้แหละคือ ปัจจัยสำคัญทาง”การเมือง”
เป็นโอกาสที่ “นักการเมือง” จะเสนอตัวไปอีกวาระหนึ่งเพื่อให้ “ประชาชน” ตัดสินใจ
นี่คือ “ทางเลือก” เพียงหนึ่งเดียวของ “นักการเมือง”