ทวีปที่สาบสูญ | อาจมิอาจสว่างไสวได้จริงๆ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

มีผู้คนพลุกพล่านมากมายเหลือเกิน ที่สถานีรถไฟ ขณะที่เราเดินเข้าไปนั้น ฉันได้ยินเสียงระฆังกังวานขึ้น และเสียงคนพูดกันว่า มาแล้ว กำลังจะเข้าแล้ว

คนตัวสูงที่มาด้วยกัน เดินเร็วเข้าไปในช่องซื้อตั๋ว ยินหล่อนพูดคุยซักถามอยู่พักหนึ่ง แล้วนิ่วหน้าออกมา

“มีอะไรหรือคะ” ฉันถาม และเรียนรู้จะพูดคำเพราะๆ กับหล่อน

ผู้ที่นับจากนี้ ฉันต้องฝากชีวิตเอาไว้

“ไม่มีที่ว่างเลย” หล่อนพูด “ไม่น่าเชื่อเลย เต็มหมดทุกขบวน เหลือแต่ชั้นสาม”

ฉันไม่เคยขึ้นรถไฟ แม้แต่จะข้ามพ้นตัวจังหวัดไปก็ไม่เคย จึงไม่อาจออกความเห็นได้

รถไฟชั้นสามมันหมายถึงอะไร เป็นชั้นๆ แบบขั้นบันไดหรือเปล่า

“หรือเราจะไปรถทัวร์ดี” หล่อนรำพึงออกมา “แต่ไม่อยากนั่งเลย”

“ทำไมล่ะคะ” ฉันพอรู้ว่ารถทัวร์หมายถึงรถบัสคันใหญ่ๆ มันน่าจะเร็วกว่ารถไฟด้วยซ้ำ…ไม่ใช่หรือ

“ไม่อยากนั่ง” หล่อนพูดออกมาห้วนๆ และฉันก็สะดุดหูอย่างช่วยไม่ได้

…นับจากเมื่อคืนมาแล้ว จนถึงเช้านี้ ที่ฉันพบว่า คนตัวสูงนี้มีอะไรหลายอย่างแปลกกว่าที่คิด หล่อนดูไม่ใช่คนพูดมาก แต่ช่างสังเกต และใส่ใจในทุกสิ่งอันละเอียดลออ

ดูแต่รองเท้าที่หล่อนซื้อให้ฉัน

[“มันคับไปหรือเปล่า”

หล่อนถาม เมื่อเห็นฉันสอดตีนเข้าไป แล้วออกเดินให้ดูตามที่หล่อนสั่ง

ใช่ คับ แต่สำหรับฉัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่

“เดี๋ยวก็เจ็บหรอก” หล่อนพูดอีก “เปลี่ยนเอาอีกเบอร์ดีกว่า”

คนขายทำสีหน้าคล้ายๆ จะเบื่อหน่าย และตามองรองเท้าหลายคู่ที่หยิบออกมาจากกระบะ เพราะเท้าฉันเล็ก จึงแทบหาคู่ที่พอดีไม่ได้

แต่จะคับนิดคับหน่อยคงไม่เป็นไร ฉันสุบได้ เกิบใหม่ๆ อีกไม่นานคงจะยืดออกเอง

“ขออีกเบอร์มาลองเถอะ” หล่อนบอกกับคนขาย

“บ่มีแล้วเจ้า” คนขายว่า “คู่อื่นมีแต่จะใหญ่เหลือเก่า”

“คู่นี้ก็ได้” ฉันบอกหล่อน

แต่หล่อนยังคงพูดว่า

“เอาเบอร์ใหญ่กว่านี้มาลองหน่อย”

ฉันหน้าร้อนขึ้น เมื่อไม่พูดเปล่า พอคนขายส่งรองเท้าให้อีกอย่างเสียไม่ได้ หล่อนก็ปลดสายเป้ลง จากนั้นก็ยอบตัว

“นั่งสิ” หล่อนออกคำสั่ง

ทันทีที่ฉันนั่ง หล่อนก็จับเท้าฉันเอาไว้ สอดเกิบใหม่นั้นเข้ามา]

ครูลินดาเคยสอดปลายนิ้วเข้ามาในซอกเท้าฉัน หล่อนกางมือใหญ่ออก พลางยิ้มพราย ก่อนจะใช้หินแม่น้ำก้อนกลมเล็กวนถูเบาๆ

ฉันแทบสะดุ้ง ไม่จั๊กจี้ แต่มีความรู้สึกแปลกๆ เสียมากกว่า หล่อนบังคับให้ฉันนั่งตั่งเตี้ย เติมน้ำในกะละมัง จับขาฉันวางพาดข้ามไป

“อย่าดิ้นสิ” หล่อนห้าม

ฉันต้องเอนตัว เพื่อจะทรงตัวเอาไว้ให้ได้ มือหนึ่งวางเท้าบนพื้นหญ้า อีกมือพยายามจะคว้าอะไรสักอย่างไว้

ตาหล่อนซ่อนรอยยิ้มอย่างทุกวัน ราวยิ่งเห็นฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ยิ่งพอใจมากเท่านั้น

…ฉันควรจะสำเหนียกเสียตั้งแต่ตอนนั้น

ก็วันนั้นไง ที่หล่อนเริ่มต้นกับฉัน

ทั้งๆ ที่เท้าแช่น้ำอยู่นานจนแทบซีดขาว ดูหล่อนไม่อนาทรร้อนใจว่าใครจะเข้าบ้านมา หรืออาจเพราะหล่อนรู้ว่าทุกคนจะกลับมาถึงตอนไหน

ในสายลมพัดพราย ในพื้นหญ้าด้านหลังของครัวไฟ หล่อนยกปลายเท้าของฉันขึ้น

ครูลินดาจูบฝ่าเท้าของฉัน

ตัวฉันเกือบสั่น ตระหนกแต่ตั้งตัวไม่ทัน พยายามดึงเท้าตัวเองกลับ หากหล่อนก็ยึดกุมมันเอาไว้

ผมของหล่อนหยักปลาย ผิวสีคล้ำกับตาปรือๆ นั่นคือสิ่งที่ฉันมองเห็นชัดกว่าสิ่งใด

หล่อนเป็นอะไร…?

ที่แผ่วไล้ดั่งการลูบโลมของสายลมคืออะไร?

พลัน – ฉกจ้วงเข้ามาแทบหนาวสั่น

ครูลินดาแลบลิ้นเลียอุ้งฝ่าเท้าของฉัน ทั้งๆ ที่ดวงตาเพ่งจ้องสะกดฉันอยู่ ปากหล่อนเท่านั้นที่ขยับไหว จนกระทั่ง…

หล่อนฉกไล่ใต้นิ้วเท้าเหมือนพรมไล่ลูกระนาด

ใจฉันแทบขาด เหนื่อยจนเหงื่อซึม ตัวสะท้อนคลอนไหว

ครั้งนั้นนั่นไง ที่หล่อนสอนฉัน

[“ใส่ถุงเท้าหน่อยดีกว่า” คนตัวสูงพูด “เอาถุงเท้าสีเทาคู่หนึ่ง ให้น้องเขาใส่คงพอแก้ขัดไปได้”

หล่อนออกคำสั่งกับคนขาย แล้วลุกขึ้น ปล่อยเท้าฉันลง

แต่ฉันยังคงเกือบตกในห้วงภวังค์

นี่มันอะไรกัน?…แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันรู้สึกรุนแรงเหลือเกิน

พยายามเรียกให้ตัวเองกลับมา

…เหงื่อซึมออกมาแทบทั้งฝ่าเท้าฝ่ามือ]

แต่บัดนี้ เราอยู่กันที่สถานีรถไฟแล้ว และเจ้าชีวิตคนใหม่ของฉันกำลังทิ้งตัวลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ถอนใจ ทำหน้าเหมือนว่าเบื่อโลกเต็มที

“มานี่สิ” หล่อนตบที่ว่างข้างตัว

ฉันเดินเข้าไปใกล้ อะไรสักอย่างทำให้ไม่กล้าจะสบตาหล่อนนัก

ให้ตายเถอะ ฉันกำลัง…อยาก

อยาก…

ชาติหมาเถอะ! มันมาได้ยังไง

“วันนี้ไม่มีตั๋วแล้ว สงสัยต้องไปวันอื่น”

“ทางอื่นละคะ”

ฉันทำเป็นถาม ราวว่าพอจะรู้เส้นทาง ความจริงแล้วฉันเองคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

บางส่วนลึกๆ ในตัวฉัน

…กำลังขอให้หล่อนเปลี่ยนใจต่างหาก

“ไม่อยากนั่งรถทัวร์” หล่อนพูด “ขอโทษที พี่มีเรื่องยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้”

ฉันไม่รู้ว่าหล่อนหมายถึงอะไร

“เครื่องบินละคะ” หลุดปากออกไป

หล่อนมองหน้าฉันทันที

“อยากนั่งหรือ”

ฉันส่ายหน้า ถ้ารถไฟยังไม่เคยนั่ง จะหวังถึงเครื่องบินได้อย่างไร

“เราไปเครื่องกันไม่ได้หรอก น้องนามสกุลอะไรพี่ยังไม่รู้เลย” หล่อนตัดบทออกมา

แล้วก็นิ่งเงียบกันไป ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่หล่อนบอก จนกระทั่งหล่อนพูดขึ้นอีกครั้ง

“ขึ้นเครื่องบินต้องมีเอกสารประจำตัวน่ะ เราไม่มี”

ฉันเข้าใจในตอนนั้นทันที คำว่า “เรา” ไม่ได้รวมถึงหล่อนหรอก แต่มันแค่ตัวฉัน…

แค่ตัวฉัน…

“ไม่ต้องห่วงนะ ไว้จะพาขึ้นเครื่องบินสักวัน” หล่อนพูด “ให้จัดการเอกสารต่างๆ เรียบร้อยก่อน”

ฉันยังไม่ได้ทำบัตรประชาชน และเอกสารเดียวเท่าที่มีคือใบประกาศตอนออกจากชั้นปอหก ซึ่งแน่ละ ไม่ได้พกมันมา

เพิ่งรู้ว่า ถ้าจะออกจากตัวจังหวัดไปที่อื่น ต้องใช้ใบต่างๆ ด้วย

ใบอะไรได้อีกบ้าง…จะต้องให้ผู้ใหญ่บ้านกำนันมาเซ็นรับรองจะได้ไหม

แล้วพวกเขาจะมารับรองฉันได้อย่างไร

ใจฉันวูบตก

“…ถ้าไปด้วยไม่ได้”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ แค่ไปลองอยู่ดูก่อน” คนตัวสูงตอบทันควัน “เดี๋ยวอย่างอื่นพี่จัดการเองทีหลัง”

ดูหล่อนตั้งใจจริงที่จะพาฉันไป

…ใจเต็มตื้นขึ้น

“เอาอย่างนี้ ซื้อตั๋วล่วงหน้าดีกว่า เราอยู่กันอีกสักคืนสองคืน จะได้ไปกันสบายๆ ไม่ต้องรีบด้วย”

หล่อนดีกับฉันขนาดนี้เพื่ออะไร ใจอดกระตุกขึ้นไม่ได้

มันจะซ้ำรอยเก่าไหม

…รอยอะไร

[ครูลินดาเคยผลักให้ฉันยืนซ้อนเบื้องหน้าหล่อน มองทะลุเข้าไปในกระจกเงา ที่มีเราสะท้อนในนั้น

หล่อนขยี้ผ้าขนหนูเช็ดผมเปียกหมาดของฉัน ก่อนจะก้มลงดมกลิ่น

“ใช้ได้ละ ไม่เหม็นแล้ว”

ฉันรู้สึกดี…ครั้งนั้น ฉันเองรู้สึกดีกับมันมาก จนกระทั่งลองลูบมือบนแขนคล้ำเนียนของหล่อนบ้าง

“ผิวพี่ลินนุ่มจัง”

หล่อนลูบแขนฉันกลับ

“คะเนก็เหมือนกัน”]

มีคนกี่คนแล้ว ที่ฉันบอกให้พวกเขาเรียกฉันด้วยนามนั้น

และมีคนกี่คนแล้วที่ฉันเปิดรับเข้ามาในโลกของฉัน

โลกที่ความมืดแอบกระเพื่อมกระฉอกสั่น โลกที่ในโลกของฉัน

อาจมิอาจสว่างไสวได้จริงๆ…