ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
ขยับทัพ รับ ‘หน.ป้อม’
สกัด ‘พี่ใหญ่’ รีเทิร์น!
รับโยกย้ายใหญ่
ทัพบกกระเพื่อม
ตท.22 ชิง เสธ.ทบ.-แม่ทัพ 4
จับตาบทบาท ‘แม่ทัพเดฟ’
กําลังจะเข้าสู่ฤดูแต่งตั้งโยกย้าย ทั้งทหารและตำรวจ ในขณะที่บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำลังจะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามแผน “3 ป.”
พร้อมๆ กับกระแสข่าวสะพัดจากนักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ว่า พล.อ.ประวิตรจะคัมแบ๊กเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงอย่างเต็มตัวอีกครั้งในการคุมทหารและตำรวจตามเดิม
เพราะเป็นช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ เพราะเกษียณราชการทั้ง 5 ผบ.เหล่าทัพ คือ ผบ.ทหารสูงสุด, ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร.
โดยเฉพาะการคุมตำรวจ ที่ พล.อ.ประวิตรเคยดูแลมาตลอด 5 ปีในรัฐบาล คสช.
แต่เพราะมีปัญหาที่คนรอบตัว และตำรวจข้างกาย พล.อ.ประวิตร ที่กระทบวงการตำรวจ จึงทำให้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องมาคุมตำรวจเองอย่างเบ็ดเสร็จ
อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะลดภาระงานของ พล.อ.ประวิตรให้น้อยลง เพื่อเตรียมให้ พล.อ.ประวิตรไปทำงานการเมืองเต็มตัว
ทั้งเริ่มจากการเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ และเตรียมเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อคุมพรรค และดีลการเมืองให้เรียบร้อยไม่ให้กระทบความมั่นคงของรัฐบาล
รวมถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องควบ รมว.กลาโหมเอง
ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประวิตรจะรีเทิร์นกลับมาเป็น รมว.กลาโหมคุมกองทัพอีกครั้ง
แม้ว่าในห้วง 1 ปีของรัฐบาล บรรดา ผบ.เหล่าทัพจะยังคงมาทานข้าวเช้าทุกวันศุกร์กับ พล.อ.ประวิตรที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ก็ตาม
อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า แม้จะเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. แต่ พล.อ.ประวิตรก็จะยังคงทำหน้าที่รองนายกฯ ต่อไปด้วย ไม่ใช่งานหนักอะไร เพราะคนหนึ่งต้องทำงานได้หลายอย่าง
แต่ก็คงไม่เพิ่มงาน รมว.กลาโหมให้ พล.อ.ประวิตร
แม้ว่าในห้วงเกือบ 1 ปีของการเป็น รมว.กลาโหมนั้น พล.อ.ประยุทธ์แทบไม่มีเวลาเข้ากระทรวงเลย แม้แต่การประชุมสภากลาโหมเดือนละครั้ง ก็ไม่ค่อยได้มาประชุม
ส่วนใหญ่จะมอบหมายให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ดูแลแทนทั้งหมดก็ตาม
แต่การที่ พล.อ.ประวิตรจะขอคุมตำรวจเองนั้น มีความเป็นไปได้มากกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องบริหารจัดการดูแล ส.ส. ดูแลสมาชิกพรรค ก็ต้องมีอำนาจและบารมี โดยเฉพาะการได้คุมตำรวจ
อีกทั้งบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะเกษียณราชการ 30 กันยายน 2563 นี้แล้วด้วย
เพราะรู้กันดีว่า ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ลูกรัก กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดรอยร้าวระหว่างพี่ป้อมกับน้องแป๊ะด้วย
เพราะบิ๊กแป๊ะก็ไม่แฮปปี้กับการที่ พล.อ.ประวิตรปล่อยให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มามีบทบาท จนถูกเรียกว่าเป็น ผบ.ตร.น้อย
พล.อ.ประยุทธ์มาคุมตำรวจเอง จึงลดอุณหภูมิในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไม่น้อย
แต่ยังไม่ทันที่ พล.อ.ประวิตรจะเป็นหัวหน้าพรรค กระแสข่าวการคัมแบ๊กมาคุมตำรวจอีกครั้งก็กระพือ และมีการเอ่ยชื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงการตั้งพรรคพลังประชารัฐ การดูดอดีต ส.ส. และการเลือกตั้งนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มีบทบาทในฐานะมือทำงานลับของ พล.อ.ประวิตรมาตลอด
แต่เมื่อเกิดเรื่องระหว่างบิ๊กโจ๊กกับบิ๊กแป๊ะ พล.อ.ประวิตรก็ให้บิ๊กโจ๊กเก็บตัวเงียบๆ
ยิ่งเมื่อมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะขอคุมตำรวจด้วยแล้ว กระแสต้านจะยิ่งมากขึ้น
เพราะกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ผบ.ตร.คนใหม่ ที่เวลานี้อำนาจยังคงอยู่ในมือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพราะคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้
แต่หาก พล.อ.ประวิตรมาคุมตำรวจ คราวนี้ย่อมมีผลต่อการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ที่อาจจะเห็นไม่ตรงกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็เป็นได้
โดยมีชื่อบิ๊กปัส พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข และบิ๊กใหม่ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่เป็น ตท.20 นายร้อยตำรวจ 36 เกษียณ 2565 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชิงกับ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก นายร้อยตำรวจ 38 ที่เกษียณ 2564
ที่อาจจะมีปัจจัยพิเศษจาก พล.อ.ประวิตรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากได้กลับมาคุมตำรวจอีกครั้ง
แต่งานนี้ไม่ใช่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจได้ง่ายๆ เพราะแม้รู้ว่าพี่ป้อมอยากคุมตำรวจ
อย่างไรก็ตาม การเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแล้วคุมตำรวจด้วย อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนในการถูกโจมตีได้ง่าย
ท้ายที่สุด พี่น้องก็คงต้องคุย เคลียร์ และตกผลึกร่วมกัน และอาจมีรายการพี่งอนน้องเกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้
ขณะที่ในกองทัพก็คุกรุ่น เพราะแม้โควิดจะทำให้เหตุรุนแรงในชายแดนภาคใต้เบาบางลงอย่างมาก แต่ทว่าสถานการณ์การชิงเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 4 กลับร้อนระอุ
ด้วยเพราะมี 2 แคนดิเดตที่ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น สะท้านไปทั้งพื้นที่ด้ามขวาน
ร้อนมาถึงสุราษฎร์ธานี บ้านเกิดแม่ทัพเดฟ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และรองเกรียง พล.ต.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 4
กับบทบาทของแม่ทัพน้อยป๊อด พล.ท.สิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่ 4 ในการแก้ปัญหาขนำ และคอกหอยที่อ่าวบ้านดอน
ท่ามกลางการปล่อยกระแสข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับการวัดพลังกันระหว่าง ทบ.ที่คุมพื้นที่ คุมการแก้ปัญหาเดิม กับทหารเรือที่กำลังจะเข้ามาคุมพื้นที่แทน หลังจากมีอำนาจตาม พ.ร.บ.รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และมีการหวังผลในการแต่งตั้งโยกย้ายของทัพใต้
แต่ต้องยอมรับว่า ตอนนี้ พล.ท.สิทธิพรเป็นเต็งหนึ่ง หลังจากขยับขึ้นเป็นพลโท ตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 4 เมื่อโยกย้ายเมษายนที่ผ่านมา
และจ่อที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ในโยกย้ายกันยายนนี้ เพราะถึงวาระที่ พล.ท.พรศักดิ์จะต้องขยับเข้ากรุงมาเป็นพลเอก ชิง 5 เสือ ทบ. หลังเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 มาแล้ว 2 ปี
แต่เป็นที่รู้กันดีว่า พล.ท.พรศักดิ์นั้นสนับสนุน พล.ต.เกรียงไกรน้องรัก แถมเป็นคนสุราษฎร์ฯ เหมือนกัน ให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แทน
แต่มีกระแสข่าวสะพัดว่า บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ที่คาดว่าจะได้เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ สนับสนุน “เพื่อนป๊อด” พล.ท.สิทธิพร เพื่อน ตท.22 ให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คุม 14 จังหวัดภาคใต้ และโดยเฉพาะคุมการแก้ปัญหาชายแดนใต้
แต่ทว่ามีการท้วงติงว่า พล.ท.สิทธิพรไม่ค่อยได้รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพราะอยู่แต่พื้นที่ภาคใต้ตอนบน
เพราะช่วงที่ผ่านมา พล.ท.พรศักดิ์มอบหมายให้อยู่โยงกองทัพภาคที่ 4 นครศรีธรรมราช และคุมภาคใต้ตอนบน ไม่ค่อยได้ลงมา 3 จังหวัดชายแดนใต้
ขณะที่ พล.ต.เกรียงไกรนั้นลงมาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ตลอด ลุยลงพื้นที่ เดินสายเยี่ยมลูกน้องถึงตะเข็บชายแดน และประชุมปรับแผนด้านยุทธวิธีตลอด
ที่สำคัญคือ มีรายงานว่า พล.ท.พรศักดิ์สนับสนุน พล.ต.เกรียงไกรแบบเต็มๆ และจะเสนอชื่อ พล.ต.เกรียงไกรขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่แทนตนเอง ให้บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.พิจารณา
และต้องไม่ลืมว่า พล.ท.พรศักดิ์เป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร 20 ของ พล.อ.อภิรัชต์ที่เป็นคนจัดโผทหารครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเกษียณราชการ
แต่ พล.ท.พรศักดิ์ยังไม่เกษียณ และลุ้นชิงเก้าอี้ 5 เสือ ทบ. ด้วยดีกรีแม่ทัพภาคที่ 4 ที่มีผลงาน ทำให้เหตุรุนแรงลดลงอย่างมาก เพราะการปรับใช้ยุทธวิธีเชิงรุก
แต่ที่ฮือฮาเมื่อมีข่าวสะพัดในชายแดนใต้ว่า พล.ท.พรศักดิ์ที่เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 มา 2 ปี พร้อมที่จะเกษียณคาตำแหน่ง นั่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ต่อ หากว่า พล.ต.เกรียงไกรไม่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แทน
เพราะที่ผ่านมา มีแม่ทัพภาคที่ 4 หลายคนก็ประสงค์ที่จะขอเกษียณในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 เช่น บิ๊กเอียด พล.อ.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ ที่ตอนเกษียณจากแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นพลโท แต่ต่อมาหลังเกษียณได้รับพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษ
และบิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ที่เกษียณในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4
เพราะหาก พล.ท.พรศักดิ์ขอที่จะเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ต่อ พล.อ.อภิรัชต์ก็คงไม่ขัดข้อง เพราะจะทำให้พิจารณาจัดโผ ทบ.ในระดับ 5 เสือ ทบ.ง่ายขึ้น เพราะโผนี้แม่ทัพภาคทั้ง 4 ภาค ล้วนขยับขึ้นมาชิงพลเอก 5 เสือ ทบ.พร้อมกันหมด
เรียกได้ว่า เป็นไม้เด็ดของ พล.ท.พรศักดิ์เลยทีเดียว ในการสนับสนุน พล.ต.เกรียงไกรที่ทำงานแก้ปัญหาในแนวทางเดียวกัน
ไม่แค่นั้น พล.ต.เกรียงไกรยังมีประสบการณ์ในฐานะคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ และปัจจุบันเป็นเลขานุการคณะพูดคุยฯ ที่มี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าทีม
ทั้งนี้ พล.ต.เกรียงไกรก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เช่นเดียวกันกับ พล.ท.สิทธิพร
โดยมีเสียงสะท้อนจากเพื่อนในรุ่นว่า หากมีการโหวต พล.ต.เกรียงไกรจะได้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตจากเพื่อนๆ เพราะเป็นคนที่ดูแลเพื่อนฝูงและลูกน้อง
งานนี้จึงกลายเป็นการชิงเก้าอี้กันของเพื่อน ตท.22 ระหว่าง พล.ท.สิทธิพร และ พล.ต.เกรียงไกร
ขณะที่ พล.ท.วิชาญ สุขสงค์ รอง เสธ.ทบ.นั้น ก็คงจะไม่ได้กลับพื้นที่ ชิงแม่ทัพภาคที่ 4 แต่ก็คงเติบโตเป็นพลเอกใน บก.ทบ. หลังจากที่ถูกขยับจากชายแดนใต้มาอยู่เมืองกรุง
ส่วนบิ๊กเหนียว พล.ต.กฤษดา พงษ์สามารถ รองแม่ทัพภาคที่ 4 อีกคน ก็ถูกมองว่ามีน้ำหนักน้อย และเป็นน้องรักของ พล.ท.ปิยวัฒน์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ไม่ค่อยจะแนบแน่นกับ พล.ท.พรศักดิ์นัก
ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า พล.ท.พรศักดิ์ที่เติบโตในภาคใต้ โดยเฉพาะชายแดนภาคใต้ ได้มองตัวนายทหารที่จะมาดูแลการแก้ปัญหาภาคใต้ไว้ เช่น พล.ต.เกรียงไกร และ ผบ.ต้น พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค (ตท.25) ผบ.พล.ร.5 ที่ลงมาทำหน้าที่ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจสงขลา และทำหน้าที่ในชายแดนภาคใต้
มีรายงานว่า การจัดโผโยกย้ายทหารกันยายนนี้ ผบ.เหล่าทัพกำลังดำเนินการกันอยู่ โดยนัดหมาย ให้แม่ทัพภาคต่างๆ ผบ.หน่วย ส่งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายในส่วนของตนเองมาที่ ผบ.เหล่าทัพ วันที่ 12 มิถุนายน 2563
จากนั้น ผบ.เหล่าทัพก็จะจัดทำโผภาพรวมในแต่ละเหล่าทัพ ก่อนที่จะส่งโผแรก และหารือกับ ผบ.ทหารสูงสุด ราว 15 กรกฎาคม เพื่อเตรียมนำหารือกับ รมว.กลาโหมต่อไป
ขณะที่เก้าอี้เสนาธิการทหารบกนั้น ส่อเค้าว่า พล.อ.อภิรัชต์จะสนับสนุนบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็น เสธ.ทบ.คนใหม่ เป็น 1 ใน 5 เสือ ทบ.
เพราะ เสธ.ทบ.จะต้องทำหน้าที่เลขานุการ กอ.รมน. ที่เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองและความมั่นคง
โดยที่ พล.ท.ธรรมนูญเมื่อครั้งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพน้อยที่ 1 ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลงาน กอ.รมน.ภาค 1 มาตลอด
และเป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์เดิม ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักคนหนึ่งของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
กล่าวได้ว่า พล.ท.ธรรมนูญได้เปรียบบิ๊กโต้ง พล.อ.อภินันท์ คำเพราะ หัวหน้าสำนักงาน ผช.ผบ.ทบ. เพื่อนรัก ตท.22 หน้าห้อง พล.อ.ณรงค์พันธ์อย่างมาก
แม้ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ อยากจะให้ พล.อ.อภินันท์เป็น เสธ.ทบ.คู่ใจก็ตาม แต่ทว่าก็ยังไม่ได้จัดโผเอง
พล.อ.อภิรัชต์ยังมีอำนาจในฐานะ ผบ.ทบ.จัดโผนายพลครั้งสุดท้ายอยู่
แถมทั้ง พล.ท.ธรรมนูญมีดีกรีแม่ทัพภาคที่ 1 ในการชิงเก้าอี้ด้วย
ที่สำคัญคือ เป็นนายทหารคอเแดง ที่อยู่ในหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) ที่มี พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ,904 โดย พล.ท.ธรรมนูญเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904
การส่งทหารคอแดงไปคุม กอ.รมน.ด้วย ก็จะเป็นการขยายความ “เป๊ะ” แบบทหารคอแดงได้อีกด้วย
เช่นเดียวกับที่ พล.อ.อภิรัชต์ผลักดันบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ให้ขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่
แม้ว่าตามโครงสร้างใหม่ของกองทัพในยุคเปลี่ยนผ่านมานั้น ไม่จำเป็นที่ ผบ.ทหารสูงสุด หรือ กอ.รมน. ต้องเป็นทหารคอแดงก็ตาม
แต่ถึงอย่างไร พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.ท.ธรรมนูญ ก็เป็นเพื่อน ตท.22 ด้วยกัน ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ เป็น ผบ.ทบ. และ เสธ.ทบ.คู่ใจได้
แม้ว่าคนเป็น เสธ.ทบ.ควรจะต้องโตมาจากฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายเสนาธิการ สายบุ๋นก็ตามที แต่เพราะมีแคนดิเดต 5 เสือ ทบ. ล้วนเป็นแม่ทัพภาค ที่โตมาจากสายคุมกำลัง สายคอมแมนด์ บู๊ ทั้งสิ้น
แม้จะไม่อาจมองข้ามบิ๊กหน่อย พล.ท.วรเกียรติ รัตนานนท์ รอง เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.20 ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ก็ถือเป็นแคนดิเดตอีกคน ที่ในโผนี้ต้องขึ้นพลเอก ไม่ว่าจะ เสธ.ทบ. หรือ ผช.ผบ.ทบ.ก็ตาม เพื่อเตรียมตัวที่จะถูกส่งชื่อไปชิงเก้าอี้ปลัดกลาโหมต่อจากบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ที่จะเกษียณกันยายน 2564
นาทีนี้ พล.ท.ธรรมนูญจึงกลายเป็นตัวเต็ง เสธ.ทบ. และเลขาธิการ กอ.รมน. ที่จะมีบทบาทอย่างมากในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังจำเป็นต้องมี กอ.รมน.เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ และบริหารอำนาจ
ที่อาจต้องให้นายทหารที่กรำศึกการเมืองในช่วงก่อนรัฐประหาร เรื่อยมาจน คสช. และปัจจุบัน อย่าง พล.ท.ธรรมนูญเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง
เพราะอำนาจการตัดสินใจในท้ายสุดยังอยู่ที่ รมว.กลาโหม และในมือของนายกรัฐมนตรีวันยันค่ำ
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่