ปม “ทหาร” ร้อง “กสทช.” ปิด “วอยซ์ทีวี” สั่งจอดำยาว 7 วัน

สถานการณ์ของรัฐบาลในหน้า 1 และพื้นที่สื่อต่างๆ ยังเป็นไปอย่างฝุ่นตลบ

โดยเฉพาะกรณีเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ เสียชีวิตที่ จ.เชียงใหม่ อ้างว่ามียาเสพติด ขัดขืนการจับกุม จะใช้ระเบิดขว้างและวิ่งหนี

ในการชี้แจงสื่อมวลชน พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ยืนยันการตัดสินใจของทหาร ถ้าเป็นตนเอง คงจะ “กดออโต้” ไปแล้ว

ขณะที่องค์การระหว่างประเทศ เรียกร้องให้มีการสอบสวนโดยองค์กรที่เป็นกลาง

ส่วนข่าวอื่นๆ มีอาทิ กรณีจับกุมคลังอาวุธที่บ้านพักโกตี๋ นักกิจกรรมเสื้อแดงที่ปทุมธานี

และเชื่อมโยงเข้ากับกรณีวัดพระธรรมกาย ที่เจ้าหน้าที่ยุติการตรวจค้นวัด หลังจากไม่พบพระธัมมชโย ส่วนพระทัตตชีโว เข้ามอบตัวรับทราบข้อหา

เหลืออยู่แต่การตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ ก็ปรากฏคลิปโทรศัพท์พูดคุยระหว่างพุทธะอิสระ ที่เคยนำม็อบชุมนุมชัตดาวน์ร่วมกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ตามมาด้วยข่าว “สั่งปิดวอยซ์ทีวีจอดำ 7 วัน กสท. ชี้ผิดเอ็มโอยูซํ้าซาก” (ไทยโพสต์ออนไลน์)

หรือตามหัวข่าวไทยรัฐออนไลน์ “มติ กสท. พักใบอนุญาต VoiceTV รวม 7 วัน มีผลเที่ยงคืน 28 มี.ค. เหตุขัดคำสั่ง คสช.”

 

วอยซ์ทีวีเป็นสื่อโทรทัศน์ดิจิตอลแห่งเดียวที่เสนอข่าวและข้อคิดเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

และถูกเรียกเตือน ถึงขนาดต้องลงเอ็มโอยูกับ คสช. มาแล้ว

รอบนี้เล่นหนักถึงขนาดสั่งหยุด 7 วันติดต่อกัน

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เปิดเผยว่า อนุกรรมการมีมติให้พักใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์ Voice TV เป็นเวลา 3 วัน

เนื่องจากเป็นการกระทำผิดซ้ำในรูปแบบเดิม หลังจากมีผู้ร้องเรียนการดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์ Voice TV ในปีที่แล้วรวมกว่า 10 ครั้ง และปีนี้ 2 ครั้ง โดยยังไม่ปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน

ในวันนี้คณะอนุกรรมการจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เพื่อพิจารณาต่อไป

เวลา 15.00 น. พล.ท.พีระพงษ์แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กสท. มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการด้านผังรายการ ให้มีคำสั่งลงโทษทางปกครองพักใช้ใบอนุญาตของสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน หรือดิจิตอลทีวี ช่องวอยซ์ทีวี เป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2560

เนื่องจากมีหนังสือร้องเรียนช่องวอยซ์ทีวี จากหัวหน้าคณะทำงานติดตามสื่อส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 21 มีนาคม และวันที่ 24 มีนาคม 2560 จำนวน 4 รายการ แต่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะทำงาน 3 รายการ เนื่องจากอีก 1 รายการ ออกอากาศเนื้อหาในช่องทางอินเตอร์เน็ต

โดย 3 รายการ ประกอบด้วย รายการ “ใบตองแห้งออนแอร์” ออกอากาศวันที่ 15 มีนาคม 2560, รายการ “อิน เฮอร์ วิว” และรายการ “โอเวอร์วิว” ออกอากาศวันที่ 20 มีนาคม 2560 ซึ่งกระทำผิดซ้ำในรูปแบบเดิม คือข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อเท็จจริงไม่รอบด้าน

อีกทั้งในปี 2559 ที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนการดำเนินรายการของวอยซ์ทีวีจำนวนมาก และ กสท. ได้ลงโทษทั้งตักเตือนและสั่งปรับทางปกครองไปแล้วจำนวน 10 ครั้ง

ปีนี้มีการกระทำผิดและได้ลงโทษปรับไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วโทษทางปกครองจะมีระดับการเพิ่มโทษตั้งแต่ ตักเตือน ปรับ พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต

พล.ท.พีระพงษ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ ได้เชิญตัวแทนสถานีและรายการที่ถูกร้องเรียนเข้ามาตักเตือนหลายครั้ง และแจ้งให้ทราบทุกครั้งว่าหากยังกระทำผิดในเรื่องเดิมจะถูกพักใช้ใบอนุญาตได้ ซึ่งทุกครั้งที่เชิญมาชี้แจง ตัวแทนสถานียินดีที่จะกลับไปปรับปรุงรายการ แต่ครั้งนี้เป็นการกระทำผิดใน 3 รายการพร้อมกัน

อีกทั้งมีเนื้อหานั้นค่อนข้างรุนแรง เสนอความคิดเห็นด้านเดียว อาทิ รายการใบตองแห้งออนแอร์ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และวัดพระธรรมกาย, รายการอิน เฮอร์ วิว พูดเรื่องโกตี๋ ส่วนรายการโอเวอร์วิว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตายของนักกิจกรรมชนกลุ่มน้อย

พล.ท.พีระพงษ์ระบุว่า วอยซ์ทีวีเป็นทีวีดิจิตอลช่องเดียวที่ลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู ร่วมกับ คสช. ซึ่งต้องระวังเนื้อหารายการออกอากาศเป็นระดับพิเศษ

การทำงานของ กสทช. เป็นอิสระ เมื่อทหารได้ร้องเรียนมาตามช่องทางปกติ ก็ต้องตอบสนองต่อข้อร้องเรียนนั้น และดูตามพยานหลักฐานแล้วพบว่ามีความผิดจริง ซึ่งนำมาตราทางกฎหมาย มาตรา 37 พ.ร.บ.กสทช. และประกาศของหัวหน้า คสช. ฉบับ 97 และ 103 ที่มีเนื้อหากระทบเกี่ยวกับความมั่นคง ทาง กสทช. จึงพิจารณา และมีมติให้ระงับใบอนุญาตเป็นเวลา 7 วัน

 

ปฏิกิริยาจากองค์กรสื่อต่างๆ ในเบื้องต้นยังไม่ปรากฏ

ส่วนสื่อด้วยกันเอง มีทั้งเห็นใจ บ้างก็กระหน่ำซ้ำเติม

ทางด้านวอยซ์ทีวี เปิดการแถลงข่าวว่า คำสั่งดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงทางธุรกิจ ซึ่งจะฟ้องร้องศาลปกครอง และศาลแพ่งต่อไป

ส่วนรายการต่างๆ จะไปออกอากาศทางออนไลน์แทน

โดย นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย กรรมการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวียืนยันว่าที่ผ่านมาได้ปรับเนื้อหาตามที่ กสทช. แจ้ง คือ ให้เนื้อหามีการอ้างอิง และมีเนื้อหาทั้งสองด้าน ซึ่งทางสถานีก็ได้พยายามทำให้มีตามคำแนะนำมาตลอด

นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสื่อทีวีสำนักหนึ่งที่สะท้อนปัญหาหลายแง่มุม

ทั้งบทบาทองค์กรสื่อ ปัญหาสิทธิเสรีภาพ

และบรรยากาศการเสนอข่าวสาร ภายใต้ “สถานการณ์พิเศษ” เมื่อไม่สามารถออกอากาศในช่องทางปกติได้ การ “ออนไลน์” ก็เป็นทางออกที่ทำให้สื่อนั้นยังนำเสนอเนื้อหาต่อไปได้

ขณะที่ประชาชนผู้ชม ก็สามารถเข้าถึงเนื้อหาดังกล่าวได้ง่าย เพราะการถ่ายทอดสดออนไลน์ เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้กระทั่งทีวีช่องหลักๆ ก็ต้องหันมาใช้วิธีนี้

การใช้อำนาจเซ็นเซอร์ในโลกสมัยใหม่ยังทำได้ แต่ไม่ง่ายเหมือนในอดีต