จับตา “2017-2018” ไทยก้าวสู่สปอร์ตทัวริซึ่มเต็มตัว

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการกีฬาในเมืองไทยถือว่ากำลังก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ทั้งผลงานของนักกีฬาที่เริ่มก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลกกันมากขึ้น รวมไปถึงกีฬาอาชีพในไทยตื่นตัวขึ้นมา

ที่ผ่านมา เรามักจะรู้จักกับวงการกีฬาในส่วนของความเป็นเลิศ ซึ่งหมายถึงการแข่งขันเพื่อชัยชนะ และการเป็นอันดับหนึ่ง อย่างเช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือว่าซีเกมส์

แต่ทว่า ในระยะหลัง มักจะได้ยินคำว่า” “Sport Tourism”” หรือการกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว กันบ่อยครั้งมากขึ้น จากการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีความคิดที่จะนำการกีฬาไปสู่การเปิดตลาดการท่องเที่ยว นำนักกีฬาต่างชาติเข้ามาสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย

“กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตอกย้ำแนวคิดนี้มาโดยตลอด โดยมองว่าวงการกีฬาไทยนั้น นอกเหนือไปจากการแข่งขันเพื่อความเป็นเลิศต่างๆ แล้ว ควรจะต้องก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางจุดมุ่งหมายทางด้านกีฬา หรือ” “Sport Destination”” ในภูมิภาคอาเซียน

อย่างเช่น การเป็นศูนย์ฝึกกีฬา (สปอร์ตฮับ) ที่จะกระจายไปอยู่ในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เช่น “พัทยา, หัวหิน” หรือว่า “ภูเก็ต” เพื่อที่จะเป็นการนำนักกีฬาต่างชาติเข้ามาฝึกซ้อมในช่วงเวลาพักเบรก ซึ่งเมื่อนักกีฬาเหล่านี้เข้ามาฝึกซ้อมแล้ว สิ่งที่ตามมาด้วยแน่นอนว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ แน่นอน

หรือในด้านของการรับหน้าเสื่อจัดการประชุมองค์กรกีฬาต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการเชื้อเชิญผู้ที่มีอำนาจในวงการกีฬาสาขาต่างๆ เข้ามายังประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย และประกาศให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการจัดทัวร์นาเมนต์กีฬาต่างๆ ที่เป็นระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีนักกีฬาต่างชาติเดินทางเข้ามาในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก แม้ว่าอาจจะเป็นระยะเวลาที่ไม่นานมาก แต่ก็ช่วยสร้างให้เงินสะพัดในประเทศได้หลายพันล้านบาท

 

หนึ่งในจังหวัดที่เริ่มจุดประกายสำหรับการแข่งขันกีฬาแบบนี้ ก็คือจังหวัด “บุรีรัมย์” หลังจากที่ได้มีการสร้างสนามมอเตอร์สปอร์ตอย่าง” “ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต”” ขึ้นมา ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของกีฬามอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย ที่มีทัวร์นาเมนต์ทั้งไทยและนานาชาติเข้ามาแข่งขันกันเป็นจำนวนมาก และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในแต่ละปี

ไทยนั้นกำลังเดินมาถูกทางกับการผลักดันในส่วนของการกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว เพราะไม่ว่าจะเป็นการจัดกีฬาทัวร์นาเมนต์สั้นๆ การสร้างสปอร์ตฮับ หรือจัดประชุมต่างๆ นั้น ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงจากรายได้ของนักกีฬาและชาวต่างชาติที่จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในช่วงระยะเวลาที่อยู่ในเมืองไทย

นอกเหนือไปจากทัวร์นาเมนต์ที่เข้ามาแข่งขันกันแล้ว สังคมไทยในตอนนี้หันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละสัปดาห์จะมีรายการวิ่งมาราธอน หรือไตรกีฬา สลับกันแข่งขันอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการแข่งขันเหล่านี้ รายการใดที่เป็นระดับนานาชาติ ก็มักจะเห็นนักกีฬาเดินทางเข้ามาแข่งขันเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน

ยิ่งตอกย้ำเป็นอย่างยิ่งว่าไทยกำลังมาถูกทางแล้วในเรื่องของการพัฒนากีฬาเพื่อการท่องเที่ยว

 

“สกล วรรณพงษ์” ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กีฬาเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นกำลังดีวันดีคืน และกำลังอยู่ในกระแส ไม่เพียงแต่ทัวร์นาเมนต์กีฬาเท่านั้น ในส่วนของกีฬาเพื่อสุขภาพ ทั้งวิ่งมาราธอน หรือไตรกีฬาต่างๆ มีแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ละ 3-4 รายการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสปอร์ตทัวริซึ่มแทบทั้งสิ้น ที่จะช่วยนำรายได้เข้ามาสู่เมืองไทยและทำให้เมืองไทยกลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกวาดตาดูในช่วงปี 2017-2018 กำลังจะกลายเป็นปีที่มีอีเวนต์กีฬาระดับโลกเข้ามาจัดในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก

เริ่มตั้งแต่มอเตอร์สปอร์ตที่มีความเร็วสูงสุดในโลกอย่างการแข่งขันกีฬาทางอากาศ” “แอร์ เรซ วัน”” ที่ได้มีปรีอีเวนต์ไปเมื่อช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา ก่อนที่ไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับเวิลด์ ซีรี่ส์ในปีนี้ ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับโลก

ที่จะมีนักบินอย่าง ธอม ริชาร์ด นักบินชื่อดังชาวอเมริกัน และอีกมากมายที่จะเข้ามาแข่งขัน

 

ขณะที่ความคืบหน้าของการดำเนินการขอเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก? หรือ” “โมโต จีพี”” ก็คืบหน้าไปมาก

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนั้น ไทยจะเซ็นสัญญาเป็นเจ้าภาพในเดือนเมษายนนี้ เพื่อนำโมโต จีพี มาจัดในประเทศไทยในปี ค.ศ.2018 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

และเป็นสัญญาต่อเนื่องยาวไปถึง 3 ปีเลยทีเดียว

แค่คิดว่าเราจะได้เห็นนักบิดระดับโลกอย่าง “วาเลนติโน่ รอสซี่” หรือ “มาร์ก มาร์เกวซ” เข้ามาแข่งขันในเมืองไทย อะดรีนาลินก็สูบฉีดแล้ว

นอกจากนี้ วงการแบดมินตันไทย ก็เพิ่งได้รับข่าวดีเมื่อ “สหพันธ์แบดมินตันโลก” (บีดับเบิลยูเอฟ) ได้ให้ไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันแบดมินตันทีมชายชิงแชมป์โลก “โธมัสคัพ” และแบดมินตันทีมหญิงชิงแชมป์โลก “อูเบอร์คัพ” รอบสุดท้ายในปี 2018 และจัดการประชุมใหญ่สหพันธ์แบดมินตันโลก

รวมไปถึงได้จัดการแข่งขันระดับ “ซูเปอร์ซีรี่ส์” ที่จะมีนักแบดมินตันระดับมือ 1-10 ของโลกเดินทางมาแข่งขันต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2018-2021 เลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวมถึงรายการแข่งขันเดิมๆ ที่ไทยมักจะได้เป็นเจ้าภาพอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอล “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ซึ่งไทยมักจะได้จัดอย่างน้อย 1 สนามในทุกๆ ปี

 

ด้านวงการฟุตบอลไทยเองก็ได้รับข่าวดี เมื่อ “สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย” หรือเอเอฟซี นั้นเลือกให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในงานประกาศรางวัล “เอเอฟซี อวอร์ด 2017″ ซึ่งนักฟุตบอลชั้นนำทั่วเอเชียจะเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยเพื่อรอรับรางวัลในงานนี้อย่างคับคั่ง

รวมไปถึงการที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีแนวคิดที่จะเสนอตัวเพื่อเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสมัชชาสหพันธ์กีฬานานาชาติ หรือ” “สปอร์ต แอคคอร์ด คอนเวนชั่น 2018″” ที่จะมีผู้แทนองค์กรกีฬาต่างๆ รวมไปถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล เข้ามาร่วมประชุมในประเทศไทยกว่า 2,000 คนด้วยกัน

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่าการเดินหมากของวงการกีฬาไทย เพื่อการก้าวเข้าสู่การเป็นสปอร์ตทัวริซึ่มอย่างจริงจังครั้งนี้ จะทำได้ดีขนาดไหน

ผู้ว่าการ กกท. ให้ความเห็นว่าสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญของการนำอีเวนต์กีฬาต่างๆ เข้ามาในเมืองไทยมากขึ้นนั้น ก็เพื่อต้องการให้คนทั่วโลกได้รู้จักศักยภาพของคนไทยมากขึ้น และในส่วนของการแข่งขันนั้น จะช่วยให้ประชาชนชาวไทยได้ชมกีฬาอย่างใกล้ชิด สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนหันมาสนใจกีฬามากขึ้นนั่นเอง

หลายๆ ครั้งคนมักจะบอกกันว่าการท่องเที่ยวกับกีฬาไปด้วยกันไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งหากสามารถบูรณาการให้ร่วมได้นั้น เชื่อว่ากีฬาที่ดีจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไปได้อย่างดีแน่นอน