ต่างประเทศ : ทฤษฎีสมคบคิด ว่าด้วยต้นตอของ “โควิด-19”

ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกดูจะย่ำแย่ลง

แต่สถานการณ์การระบาดในประเทศจีน ซึ่งเป็นต้นตอของการระบาดนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนถึงขั้นมีการเปิดเมืองและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ เปิดสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยว

กระนั้นก็ตาม เรื่องราวของการหาต้นตอของการระบาด ดูเหมือนจะมีความดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแรกเริ่มเดิมที นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าต้นตอของไวรัสร้ายนี้มาจากตลาดขายอาหารป่า “หัวหนาน” ของเมืองอู่ฮั่น และต้นตอคือเจ้า “ค้างคาว”

หากแต่ผลการศึกษาที่มีการตีพิมพ์ในวารสารแลนเซ็ตเมื่อเดือนมกราคม ระบุว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นชายวัยเกษียณ ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับตลาดหัวหนานแต่อย่างใด

เมื่อเรื่องของค้างคาวจากตลาดหัวหนานไม่น่าจะใช่ต้นตอของโควิด-19 ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ขึ้นว่า ไวรัสนี้อาจจะหลุดออกมาจาก “ห้องทดลอง” โดยไม่ตั้งใจ

 

ห่างจากตลาดหัวหนานไม่ถึง 300 เมตร เป็นที่ตั้งของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ซึ่งมีห้องทดลองที่ชื่อว่า “พี 4” อยู่ สถานที่ซึ่งกำลังถูกต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

สำหรับห้องทดลองพี 4 ของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น เป็นห้องทดลองเชื้อโรคที่มีความปลอดภัยระดับสูงสุด ได้เริ่มเปิดใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2018 สร้างขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ส่วนหนึ่งของความริเริ่มในการวิจัยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ

โดยโครงการแรกของห้องทดลองพี 4 คือการวิจัยเกี่ยวกับไข้เลือดออกซินเจียง ที่มีอัตราการเสียชีวิตในมนุษย์สูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์

สถาบันแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของทฤษฎีสมคบคิดหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงทฤษฎีที่มีการเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ของจีนเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการ “เล็ดลอด” ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่าออกจากมาจากห้องทดลอง

 

มีหลายคนที่เข้าไปโพสต์อ้างถึงความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์จีน และมีการนำหลักฐานมาโชว์กันด้วย หนึ่งในนั้นเป็นรายงานปี 2017 ของอู่ฮั่น อีเวนนิ่ง นิวส์ ที่ระบุว่า “เทียน จวินหัว” นักวิจัยของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคอู่ฮั่นได้กักตัวเองไว้ 14 วัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุไปสัมผัสกับปัสสาวะของค้างคาวโดยตรง ระหว่างการวิจัยเมื่อปี 2012

นอกจากนี้ ชาวเน็ตยังอ้างถึง “อุบัติเหตุ” ของห้องทดลองแห่งชาติแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2004 ที่มีการทดลองเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงจนทำให้เกิดการติดเชื้อ และถึงกับทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 1 ราย เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง 5 คนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคถูกลงโทษ

ขณะที่ทางสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นเองได้เคยเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการวิจัยเรื่องต้นตอของไวรัสโคโรนา ซาร์ส และได้มีการเก็บตัวอย่างไวรัสโคโรนาค้างคาวจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีน เพื่อนำมาศึกษาเกี่ยวกับโรคที่อาจเกิดในอนาคต

เรื่องดังกล่าว ยิ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ตัวอย่างเชื้อที่เก็บมา มีตัวใดตัวหนึ่งหลุดรอดออกมา หรือมีขยะอันตรายจากศูนย์ดังกล่าว ที่สามารถทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายได้

 

ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันของสหรัฐอเมริกาหลายต่อหลายคนออกมาเน้นย้ำว่า “จีน” เป็นต้นตอของไวรัสร้ายที่ทำให้ชาวอเมริกันตายไปหลายหมื่นคนแล้ว

ทอม คอตตอน วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา จากรัฐอาร์คันซอส์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบห้องทดลองพี 4 ของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น โดยคอตตอนได้บอกกับ “ฟอกซ์ นิวส์” ว่า มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ไวรัสนี้มาจากห้องทดลองในอู่อั่น

อย่างไรก็ตาม นายหยวนจื้อหมิง ผู้อำนวยการของห้องทดลองความปลอดภัยทางชีวภาพแห่งชาติอู่ฮั่น ได้ออกมาตอบโต้ทฤษฎีที่ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้เล็ดลอดออกมาจากห้องทดลองของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น จนเกิดการระบาดไปทั่วโลกตอนนี้

โดยนายหยวนยืนยันว่า ไม่มีทางเลยที่ไวรัสนี้จะมีต้นตอมาจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น และยังปฏิเสธทฤษฎีที่ว่า “ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์” หรือคนกลุ่มแรกที่แพร่เชื้อมีส่วนเกี่ยวโยงกับสถาบัน และว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ พนักงานเกษียณ หรือนักศึกษาวิจัยคนใดที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

นายหยวนบอกว่า นายคอตตอนและนักข่าวของวอชิงตันโพสต์ที่รายงานเกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าไวรัสหลุดออกจากห้องทดลองอู่ฮั่นนั้น ต้องการสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับทางสถาบันและห้องทดลอง “พี 4”

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้จีนเองก็เคยออกมากล่าวหาสหรัฐว่ากองทัพสหรัฐเป็นผู้นำเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข้าไปแพร่ในประเทศจีน โดยพีเพิลส์ เดลี สื่อของทางการจีนรายงานว่า ต้นตอของไวรัสอาจจะมาจากการที่ตัวแทนจากสหรัฐที่ร่วมเข้าแข่งขันกีฬาทหารโลกที่อู่ฮั่นเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน อาจจะเป็นผู้นำไวรัสโคโรนามาสู่อู่ฮั่น และเกิดการกลายพันธุ์จนเกิดการระบาดเป็นวงกว้าง

เช่นเดียวกับทีวีอาซาฮีของญี่ปุ่น ได้รายงานไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้มีต้นกำเนิดในสหรัฐ ไม่ใช่จีน โดยระบุว่า ชาวอเมริกันบางส่วนอาจจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ก็เริ่มมีหลายประเทศ รวมทั้งออสเตรเลียที่ออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดการระบาดใหญ่ได้อย่างไร

ขณะที่นายทาเคชิ คาไซ ผู้อำนวยการขององค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ออกมาบอกว่า ณ ตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาแหล่งที่มาที่ชัดเจนของต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ตอนนี้

ตราบเท่าที่ยังหาหลักฐานที่แน่ชัดไม่ได้ ทฤษฎีสมคบคิดและการใส่ร้ายกันและกันก็คงต้องมีอยู่ต่อไป