ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
คุณกักตัวกันมากี่วันแล้วคะ?
ก็ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน คือเป็นเดือนเมษายนที่ไม่มีสงกรานต์ ไม่มีสาดน้ำ ไม่มีตั้งวงกินเหล้า ไม่มีงานปาร์ตี้โฟม
ถ้าถามว่า ฉันเป็นฝ่ายแอนตี้หรือเอ็นจอยกับเทศกาล ฉันก็จะตอบว่าเป็นทั้งสองอย่าง
คือรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของเทศกาล แต่ไม่ออกไปร่วมอะไรด้วย
เคยออกไปสมัยสาวๆ ซึ่งก็หลายปีมาแล้ว
เทศกาลเหล่านี้เป็นเรื่องของคนยังเยาว์ หรือคนมีครอบครัวที่จะได้แบ่งปันช่วงเวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งฉันตกคุณสมบัติของทั้งสองกลุ่ม
แต่พอปีนี้ที่โรคภัยและกติกาสังคมบอกให้เราอยู่บ้าน ฉันก็แค่อยู่บ้าน ไม่ได้งอแงอู๊ดอี๊ดอะไร แต่ก็ยังเห็นใจแกมเป็นห่วงคนที่ภาระเงื่อนไขชีวิตไม่เอื้อให้ใช้ชีวิตไปได้อย่างราบรื่นในช่วงนี้
ก็ที่ถามคุณว่ากักตัวกันมากี่วันนั่นก็ด้วย
พูดกันอย่างชนชั้นกลางที่บ้านอยู่ในเขตเดลิเวอรี่อาหารสารพัด เราก็แทบจะไม่เดือดร้อนอะไรด้านปัจจัยที่อยู่และอาหารการกิน
ฉันเลยไม่ได้กักตุนอะไรเลย
ห้ามขายเหล้าฉันก็เฉยๆ เพราะไม่ได้ดื่มมานมนานแล้ว
กลายเป็นของที่ฉันต้องคิดให้รอบคอบในการกักตัวว่าจะกักตุนแค่ไหน หรือ “ต้อง” กักตุนหรือไม่ กลายเป็นของอย่างอื่นไปเสียฉิบ
อย่างแรกคือยาประจำตัว ที่พอเดินเข้าห้องตรวจให้หมอเห็นหน้าก็หัวเราะให้กันทันที เพราะต่างก็รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ คนป่วยประสาทอย่างฉันก็จะเพิ่มความประสาทขึ้นไปได้อีกนิด กลัวว่ายาจะขาดมือขาดตอน แล้วจะอาการกำเริบ นอนแช่น้ำตาจนตาย ทั้งที่ในทางปฏิบัติมันไม่มีวันเป็นอย่างนั้นไปได้
แต่สมองพังๆ ของฉันนี่จะลากเรื่องเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่เสมอ ซึ่งก็เป็นข้อที่หมอเข้าใจดี เลยสั่งยามาให้ใจชื้นได้อีกหน่อย เพราะหมอไม่กลัวอยู่แล้ว ว่าฉันจะผลุนผลันแกะยาทั้งหมดมากรอกปากในทีเดียว
ขี้กลัวขนาดนี้มีแต่จะพยายามกระเบียดกระเสียรเสียจนถ้าหมอไม่สั่งยาให้กินได้ตามเวลาปกติ จะยอมแหกตารางกินยา ไปกินวันเว้นวัน เว้นสองวันให้เป็นที่เวทนาเสียมากกว่า
นอกจากยาแล้วมีอะไรอีก?
อันนี้ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ แต่ฉันต้องทำสำรวจให้เอง คำนวณความน่าจะเป็น ความต้องการในแต่ละวัน ความหลากหลายทางรสชาติ ความน่าจะยาวนานของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
สิ่งที่ฉันกักตุนเพิ่มเป็นพิเศษคือทรายแมว
กับอาหารแมวทั้งแบบเม็ดและแบบกระป๋อง
ถ้าจะมีตัวอะไรดูสุขสบายใจไม่เดือดร้อนกับเรื่องรอบตัว ฉันก็ว่าโมโม่นี่ละ ที่อยู่พ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ลอยตัว กลิ้งตัว เหยียดตัว หมุนเอี้ยวทุกท่วงท่าได้สบายใจ
แถมจะดูสบายใจกว่าเดิมด้วย เพราะมีฉัน-นางทาสอันดับหนึ่ง-คอยเฝ้าแหนใกล้ชิด
ท่านโมโม่อยากได้ อยากกินอะไร นางทาสก็จะไปจัดการให้อย่างว่องไว
แรกเลี้ยงฉันก็คิดว่า, บ้าน่า แมวก็คือแมว จะมาเป็นนายอะไรนักหนา
แต่เอาเข้าจริงก็หนีไม่พ้นการต้องนั่งสังเกตอาการแมวตัวเองอย่างละเอียด ว่าเมี้ยวแบบนี้คือเบื่อ ม้าวแบบนั้นคือหิว มี้มี้มี้นี่แปลว่าอย่าจับตัวผม
ยิ่งพอมาอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมแบบไม่มีทางเลี่ยงได้แบบนี้ ยิ่งรู้เลยว่าใครเป็นนาย
“ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว” แปลออกมาได้ถูกจังหวะอย่างยิ่ง อ่านไปฉันก็ขำไปในหลายบท และพยักหน้าเบาๆ (เพราะโมโม่นอนอยู่ข้างๆ พยักหน้าแรงเดี๋ยวโม่ตื่น) อย่างเห็นด้วยในหลายบท
ไม่มีอะไรถูกต้องไปกว่าการสรุปทีเล่นทีจริง ว่าแมวน่ะฝึกเราจนเชื่อง ฝึกจนเราเข้าใจภาษาของมันแล้ว มันจึงยอมมาอยู่ร่วมกับเรา
ไม่เชิงจะเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนเสียทีเดียว
คือเกิดมาเพื่อเป็นแมว มาอยู่กับเราแบบแมวๆ และบงการชีวิตเราอย่างลึกลับในวิถีของแมว
มันปรับตัวน้อยมากจากสัตว์กินเนื้ออย่างยิ่งยวดสมัยเป็นนักล่าในป่า จนมาอยู่เป็นแมวเลี้ยง
มันลดขนาดสมองลงหน่อยนึง เพื่อเพิ่มความกล้าในการเข้าหามนุษย์ (ซึ่งฉันมองว่าเป็นการยอมเสียศักดิ์ศรีเล็กๆ น้อยๆ แลกกับความสบายหลายๆ อย่าง ที่ต้องจากป่ามาสู่เมือง อดทนให้มนุษย์กอดๆ ซักนิดก็ไม่แย่นัก)
ใบหน้าและดวงตานั้นได้เปรียบอยู่แล้วที่คล้ายเด็กทารก ซึ่งปลุกสัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ในตัวเรา
เสียงร้องอ่อนหวานที่เมี้ยวๆ มี้ๆ งุ้งๆ นั่นก็มีไว้เพื่อสั่งการเราโดยตรง เพราะมันก็รู้ว่าเราคอยฟังมันอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะสื่อสารกัน
ปรับลำไส้ให้ยาวขึ้น เพื่อกินอาหารจากมนุษย์ (แน่นอนว่าไม่ถูกใจนัก แต่ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ หรือล่าโปรตีนอยู่ตลอดในวิถีแบบเมือง ซึ่งยากเย็น)
แถมยังเพาะเชื้อปรสิตไปแพร่พันธ์สู่สมองมนุษย์เสียอีก!
“เราต้องหาทางฟื้นคืนที่ทางที่ถูกต้องให้พวกมัน สำหรับขั้นเริ่มต้น เราต้องเข้าใจว่าแมวไม่ใช่สัตว์เลี้ยงตามสะดวกอย่างที่มนุษย์ชอบเห็นว่ามันเป็น อาจดูเหมือนมันผ่านวันหยุดยาวไปได้ตามลำพังโดยมีขนมและอาหารวางไว้ให้ แต่แมวอยากให้เราไม่ไปไหนมาไหนตามอำเภอใจตัวเอง เราควรจะต้องยึดมั่นอยู่กับตารางอันเคร่งครัดเหมือนพ่อบ้านที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และคำว่าเคร่งครัดก็คือเคร่งครัด โดยเฉพาะสำหรับแมวที่ถูกกักอยู่ในที่จำกัด…ต้องไม่ใช่ให้อาหาร “ตอนเย็น” แบบกว้างๆ แต่ต้องเคารพเวลาอาหารค่ำที่แน่นอนตายตัว -ถ้าคุณจะเลี้ยงอาหารแมวตอนสองทุ่ม คุณก็ต้องไม่ให้อาหารมันตอน 6 โมงเย็นหรือ 4 ทุ่ม- ช่วงเวลายืดหยุ่นของเจ้าของคือบวกลบ 15 นาที ไม่อย่างนั้นแมวจะโมโห…
…แมวยังต้องการความรู้สึกว่าควบคุมร่างกายตัวเองได้ด้วย น่าประหลาดที่แมวมีปัญหาที่บัฟฟิงตันพบ มักจะมีเจ้าของที่หลงรักมันเหลือเกิน…แต่บางครั้งคนที่มอบความรักให้มากที่สุดเหล่านี้ คือคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด
-พวกเขาอยากเล่นกับแมว ก็เลยเข้าไปลากมันออกมาจากใต้เตียง กอดมัน พยายามแสดงความรัก ซึ่งมักจะทำให้แมวรู้สึกถูกคุกคาม-“*
นี่หมายความว่าอะไร
หมายความว่าเราต้องทำตามเวลาแมว กติกาแมว พื้นที่แมว
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมนุษย์นี่นะ เราควรจะเคารพพื้นที่กัน ให้เกียรติเวลาของอีกฝ่ายด้วยการเป็นคนรักษาเวลานัด ไม่ก้าวล่วงร่างกายของอีกฝ่ายหากเขาไม่ยินยอม
อื้อ คิดได้แบบนี้ก็ไม่แย่นัก
แต่ฉันจะไม่บอกว่าระหว่างเขียนบทความนี้ ฉันวางมือไปเกาหัวเกาหูโมโม่กี่ครั้ง (ก็ส่งเสียงเรียกขนาดนี้) เดินไปตักกระบะทราย (ก็คุณเขาใช้ห้องน้ำ) ร้องเรียกชื่อดังๆ (ก็คุณเขาร้องเรียกให้เล่นด้วย) เทข้าวให้ (ก็มันถึงเวลากินของคุณเขา) และอุ้มขึ้นกอดแบบนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้คุณโมโม่
เพื่อที่พอทำเรียบร้อยแล้ว คุณเขาก็จะถีบตัวออกจากอ้อมกอดฉัน และปล่อยให้ฉันทำงานต่อได้อย่างอิสระ
ถ้าจะมีคติธรรมอะไรสักอย่างที่สมควรนำมาใช้ในช่วงเวลานี้ ฉันว่าตัวอย่างมีให้เห็นง่ายมาก แมวยินดีกับพื้นที่ส่วนตัว ชอบจ้องไปในความว่างเปล่า กินข้าวตรงเวลา นอนตามที่ตัวเองอยาก มีตารางตื่น (และปลุกเจ้าของ) ที่แม่นยำ
คำขวัญวันสงกรานต์ปีนี้จากใจฉันก็เลยเป็นนี่ละค่ะ
Be Like Momo.
สวัสดี
“ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว” (The Lion In The Living Room) -วิทยาศาสตร์แห่งแมว เมื่อเจ้าเหมียวคิดจะครองโลก เขียนโดย Abigail Tucker แปลโดย โตมร ศุขปรีชา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ Salt มีนาคม, 2563
*ข้อความจากในหนังสือ