ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 เมษายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบกับวิกฤต “โควิด-19” ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หน้ากากอนามัย หรือแม้แต่ชุดสำหรับป้องกัน หรือพีพีอี ก็กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของทั่วโลก
จีนซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของโควิด-19 และสถานการณ์เริ่มดีขึ้นหลังผ่านพ้นไปราว 2 เดือน ก็มีกำลังที่จะมาช่วยประเทศอื่นๆ ในเรื่องของเครื่องเวชภัณฑ์ต่างๆ มากขึ้น และมีการส่งออกไปตามประเทศต่างๆ
กระนั้นก็ตาม กลับมีกลุ่มคนบางคนที่มีความเห็นแก่ตัว ใช้อำนาจของตัวเองในการให้ได้มาซึ่งสิ่งของเวชภัณฑ์สำคัญเหล่านี้
ที่เห็นชัดเจนระดับโลก คือรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาบอกว่า หน้ากากอนามัยไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับคนที่ไม่ป่วย แม้ว่าในตอนนั้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทวีความรุนแรงไปในหลายประเทศแล้วก็ตาม
กระทั่งล่าสุด ทรัมป์ก็ออกมากลับลำครั้งใหญ่ แนะนำให้ประชาชนหันมาใส่หน้ากากอนามัยผ้า ที่ “ไม่ใช่” หน้ากากอนามัยสำหรับเจ้าหน้าที่การแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐไต่ขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกอย่างรวดเร็ว แซงหน้าทุกประเทศไปเรียบร้อย
ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเองก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง หน้ากากอนามัยเริ่มสำคัญขึ้น และสหรัฐก็เริ่มใช้อำนาจในการให้ได้มาซึ่งหน้ากากอนามัยให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะหน้ากากสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์
นำไปสู่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งให้หยุดการส่งออกชุดพีพีอีไปยังประเทศอื่น เนื่องจากชุดพีพีอีนี้เป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงที่สหรัฐต้องต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19
และทรัมป์ยังได้ใช้อำนาจสั่งการนี้ ภายใต้กฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกันของสหรัฐ เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในสหรัฐอย่าง 3M หยุดการส่งออกหน้ากาก N95 รวมไปถึงถุงมือผ่าตัดและอุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์อื่นๆ ไปยังต่างประเทศ ยกเว้นอิตาลีและสเปนที่กำลังได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 อยู่ในขณะนี้
และยังสั่งให้ 3M และบริษัทในเครือจัดหาหน้ากากอนามัย N95 ให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม และการทำกำไรจากการส่งออก ในขณะที่อุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องการอย่างมากในประเทศ เพื่อการต่อสู้กับโควิด-19″
เป็นเหตุให้เกิดกรณีที่เยอรมนีโดนสหรัฐปล้นเอาหน้ากากอนามัยไปดื้อๆ เกือบ 2 แสนชิ้น
โดยจากรายงานของบีบีซีระบุไว้ว่า รัฐบาลท้องถิ่นกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีออกมากล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่าปล้นเอาหน้ากาก N95 จำนวนเกือบ 200,000 ชิ้น ซึ่งผลิตขึ้นจากโรงงานของ 3M ในประเทศจีน ที่ “กำลัง” จะถูกส่งไปยังประเทศเยอรมนี แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่สหรัฐกักยึดไว้ที่กรุงเทพฯ ขณะที่สินค้าล็อตนี้แวะพักอยู่ที่ประเทศไทย
เรื่องนี้ทำให้เยอรมนีถึงกับโมโหอย่างหนัก
วอลล์สตรีตเจอร์นัลได้อ้างคำกล่าวของนายแอนเดรียส ไกเซิล รัฐมนตรีมหาดไทยของรัฐบาลท้องถิ่นกรุงเบอร์ลิน ที่แถลงสั้นๆ ว่า การยึดหน้ากากป้องกันของสหรัฐครั้งนี้ ถือว่าเป็นการปล้นยุคใหม่
ขณะที่นายมิคาเอล มุลเลอร์ นายกเทศมนตรีกรุงเบอร์ลิน ประณามการกระทำของทรัมป์ว่า “ไร้มนุษยธรรม” และถือว่าเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้
หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทรัมป์ได้กล่าวไว้ระหว่างการแถลงข่าวประจำวันว่า “เราต้องการสิ่งของเหล่านี้ในทันทีเพื่อไว้สำหรับใช้ในประเทศ เราจำเป็นต้องมีมัน”
และยังบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐได้ทำการยึดหน้ากาก N95 เอาไว้เกือบ 200,000 ชิ้น, หน้ากากเพื่อใช้ทางการแพทย์อีก 130,000 ชิ้น และถุงมืออีก 600,000 ชิ้น แต่ไม่ได้บอกว่ายึดของเหล่านี้จากไหน
นอกเหนือจากเยอรมนีแล้วก็ยังมีรายงานว่า ประเทศแคนาดาเพื่อนบ้านของสหรัฐเองก็ถูกสหรัฐสกัดไม่ให้บริษัท 3M ส่งออกหน้ากาก N95 ไปยังแคนาดาด้วยเช่นกัน
นอกเหนือไปจากเรื่องของอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ แล้ว ยังมีรายงานจากรอยเตอร์สด้วยว่า ตอนนี้รัฐบาลอินเดียได้ประกาศยกเลิกการจำกัดการส่งออกยารักษาโรค สารตั้งต้นสำหรับผลิตยาและเวชภัณฑ์รวม 24 ชิ้น ที่เพิ่งบังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคมแล้ว
โดยแหล่งข่าวระบุกับรอยเตอร์สว่า คำสั่งยกเลิกดังกล่าวเป็นผลมาจากแรงกดดันของสหรัฐ
เพราะทรัมป์ได้พูดคุยกับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เรียกร้องให้อินเดียเร่งส่งออกยารักษาโรคมาลาเรีย ไฮดร็อกซีคลอโรควิน ที่ว่ากันว่าอาจจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้
ซึ่งการกดดันอินเดียดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตยาทั่วโลก เพราะอินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกยารักษาโรครายใหญ่ที่สุดของโลก
ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้ ทรัมป์เองพยายามที่จะดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะทำให้สหรัฐอเมริการอดพ้นเงื้อมมือของโควิด-19 ไปให้ได้ หลังจากปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย
จนหลายฝ่ายเริ่มมองว่า สถานการณ์การระบาดที่รุนแรงในสหรัฐ จนทำให้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกในเวลาอันรวดเร็วนั้น มาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของทรัมป์
และเรื่องนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้ ที่ทรัมป์เองลงชิงชัยในฐานะตัวแทนของพรรครีพับลิกัน และดูจะเป็นตัวเต็งที่จะได้คว้าชัย ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2
แต่ตอนนี้ชาวอเมริกันเริ่มดูจะไม่พอใจกับมาตรการการรับมือการแพร่ระบาดของทรัมป์เสียเท่าไหร่
ไมเคิล ดูเฮม นักยุทธศาสตร์การเมืองของรีพับลิกันเองบอกว่า ไวรัสกำลังเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายความน่าเชื่อถือของประธานาธิบดี และสาธารณชนจะเริ่มตั้งคำถามต่อความพร้อมของฝ่ายบริหารนับตั้งแต่นี้ แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง แต่จุดแข็งของทรัมป์คือเรื่องเศรษฐกิจ หากตลาดหุ้นยังไม่ฟื้น และผู้คนเริ่มได้รับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลเสียทางการเมืองต่อทรัมป์
ตอนนี้ดูเหมือนชะตากรรมของทรัมป์ สำหรับการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 ดูจะยากขึ้นทุกที
เพราะฤทธิ์ของไวรัสโควิด-19 ที่แม้จะไม่สามารถทำร้ายร่างกายของทรัมป์ได้ (ในตอนนี้) แต่ก็สุ่มเสี่ยงสำหรับชะตากรรมของทรัมป์ในการเลือกตั้งปลายปี ที่เริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว