ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
“การทำความผิดในวิหารนั้น มิอาจเป็นข้ออ้างให้พ้นบาปได้”
นี่ดูเหมือนจะเป็นคำกล่าวของวาสุเทพ กฤษณะ ในเรื่อง “มหาภารตะ” เมื่อวิจารณ์ถึงความผิดของทุรโยชผู้ทรราช ซึ่งแก้แค้นเหล่าห้าพี่น้องแห่งปานฑพกับมเหสี คือนางเทราปตีด้วยเกมพนันโกงจนถึงจัดเปลื้องผ้านางเทราปตีกลางท้องพระโรงโดยลุแก่อำนาจทรราชนั้น
อำนาจทรราชนั้นแล คือความผิดในวิหาร
หมายถึงการใช้อำนาจในทางที่ผิดนั้นมิอาจอ้างเอายศศักดิ์ ตำแหน่งแห่งหนอันสูงศักดิ์และศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเกราะกำบังใดๆ ได้เลย
โดยเฉพาะการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งในกรณีนี้คือการใช้อำนาจของทุรโยชจัดการเปลื้องผ้านางเทราปตี
หากจะแทนคำวิหารเป็นโบสถ์ก็ย่อมได้ และย่อมจะเห็นตัวอย่างได้ชัดขึ้นด้วย
โดยเฉพาะการทำความผิดของคนห่มผ้าเหลือง
คนห่มผ้าเหลืองที่ไม่ใช่พระ หากทำตัวเป็นพระ และคนเชื่อว่าเป็นพระ นี่ก็เป็นความผิดฉกรรจ์ขั้นต้นแล้ว คือ เป็นพระปลอม
ความผิดฉกรรจ์ขั้นต้นคือ “โกงศรัทธาประชาชน”
ยิ่งพระปลอม ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง จะด้วยการโกงเงินหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยประการใดก็ดี ก็ยิ่งชั่วหนักเข้าไปอีก
นี่แหละคือ
โบสถ์วิหารมิอาจปกป้องการทำความผิดของผู้กระทำภายในหรือในนามของสำนักนั้นได้เลย
การปลงอาบัติในโบสถ์นั้น มิอาจปลงหรือใช้ได้กับอาบัติขั้นปาราชิก
อาบัติขั้นนี้ต้องสึกสถานเดียว
ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมายด้วย
ดังเคยยกตัวอย่างเรื่อง “สมภารเซ้งโบสถ์”
เมื่อสมัยที่นักธุรกิจการเมืองเข้ามาลงทุนขายประเทศในสมัยหนึ่งนั้นว่า เหมือนเราจ้างผู้จัดการมาดูแลร้านค้าเรา แต่ผู้จัดการเข้ามาจัดการไปในทางที่นอกจากนำสินค้าของตนเข้าขายเป็นหลักแล้วยังคิดทำการในทีท่าว่าจะเซ้งร้านเป็นส่วนตัวอีกด้วย
นี่แหละ “สมภารเซ้งโบสถ์”
ด้วยการถือเอาศรัทธาของญาติโยมมาฉ้อฉลเป็นประโยชน์ตนโดยมิชอบ
ศรัทธาในพุทธศาสนิกชนเรานี่เองก็พิกลพิการด้วยเช่นกัน โดยเรามักถือศรัทธาเป็นหลักคือ ถือเอา “ความเชื่อ” เป็นใหญ่
เชื่อว่าเขาดี เขามีบุญ เขารวย เขาเด่นดัง เขามียศศักดิ์อัครฐาน บารมี ฯลฯ
เมื่อเชื่อแล้วก็เชื่อเลย
ยิ่งบวชเป็นพระห่มเหลืองยิ่งเชื่อใหญ่เชื่อเลย
หารู้ไม่ว่า ในพระไตรปิฎกเองยังเอ่ยถึงนักบวชผู้ทุศีลจำพวกหนึ่งว่าเป็นพวก “ดาบที่หมกอยู่ในจีวร
ศรัทธาต้องคู่กับปัญญา
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยเปรียบเหมือนคู่โคเทียมเกวียน ที่ต้องเดินคู่ขนานไปด้วยกัน
ตัวหนึ่งคือศรัทธา ตัวหนึ่งคือปัญญา
ตัวใดตัวหนึ่งจะนำโด่งไปไม่ได้ เกวียนล่มแน่
ศรัทธานำปัญญา ก็จะกลายเป็นงมงาย คือเชื่อลูกเดียว กระทั่งเป็นงมงายไสยศาสตร์ดังเป็นกันมากในบ้านเราเวลานี้
ปัญญานำศรัทธาก็จะกลายเป็นพวกบ้าสุดโต่ง มีปัญญาพุ่งไปลูกเดียว ไม่เชื่อในอะไรทั้งนั้น
จำพวกนี้เห็นได้ในหมู่ปัญญาชนคนชั้นกลางที่มักไม่ “อหังการคับฟ้า” ก็ “อัตตาคับกรง”
บ้านเมืองเราเวลานี้ก็เหมือนจะมีสภาพอย่างนี้
คือมีคนสองจำพวก
หนึ่ง หนักข้างศรัทธาลูกเดียว
สอง หนักข้างปัญญาลูกเดียว
เกวียนคือสังคมนี้ทำท่าจะล่มถึงขั้น “เกวียนหัก” ก็เพราะความไม่เสมอกันของศรัทธากับปัญญานี้เป็นสำคัญประการหนึ่ง
ยังมีวาทะเด็ดในมหาภารตะอีกประโยค เป็นทำนองว่า
เมื่อไฟไหม้บ้าน คนเฝ้าประตูไม่แค่เฝ้ารักษาประตูอยู่เท่านั้น
ตรงนี้เก็บไปคิดกันเองละกันว่าจะหมายถึงอะไรดีต่อสภาพการณ์ของบ้านเมืองเราเวลานี้
อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เปรียบเทียบรามเกียรติ์กับมหาภารตะ ไว้น่าสนใจตอนหนึ่งในคำนำหนังสือ “มหาภารตยุทธ์” ว่า
“…เป็นเรื่องธรรมยุทธ์ของชาวภารตประเทศทั้งคู่ เรื่องแรก แสดงการสู้รบระหว่างชาวอารยันที่ยกเข้ามายึดครองชมพูทวีป ด้วยการขับไล่ชาวพื้นเมืองเดิมที่ถูกกดลงเป็นมิลักขุ ยักษ์ รักษส ฯลฯ ออกไปจนถึงลังกาทวีป โดยที่ชาวพื้นเมืองเดิมที่เข้ามาสมัครเป็นพรรคพวกก็ได้รับเกียรติให้เป็นพญาวานร ทั้งนี้ โดยมีพื้นเพให้ได้สมพงศ์กับฝ่ายอารยันบ้าง เช่น มีบิดาเป็นเทวดา เป็นต้น ส่วนเรื่องหลัง เป็นการสู้รบกันระหว่างชาวอารยันด้วยกันเองหลังจากที่ยึดครองชมพูทวีปได้โดยตลอดแล้ว…”
ข้อคิดเรื่องศรัทธากับปัญญาก็ได้จากมหากาพย์สองเรื่องนี้