ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มีนาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศอินโดจีน |
เผยแพร่ |
ความสำเร็จในการรับมือกับเชื้อโควิด-19 ของเวียดนาม น่าทึ่งและน่าสนใจศึกษาเรียนรู้อย่างยิ่ง แม้กระทั่งองค์การอนามัยโลกยังแสดงความชื่นชมในความรวดเร็ว เด็ดขาดในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินของการระบาดของรัฐบาล พอๆ กับการที่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนเป็นอย่างดี
เวียดนามพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 16 คน โดยที่เมื่อถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งวันเป็นวันที่ผู้ป่วยคนสุดท้ายถูกปล่อยตัวจากโรงพยาบาลให้กลับบ้านได้นั้น เวียดนามไม่เจอผู้ติดเชื้อใหม่มา 15 วันแล้ว
ดังนั้น ถ้านับถึงวันที่ 4 มีนาคม เวียดนามก็ปลอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 มานานร่วม 3 สัปดาห์แล้ว โดยไม่มีผู้ใดเสียชีวิต
นี่คือความสำเร็จของเวียดนาม
เวียดนามตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกสุดของประเทศ เมื่อวันที่ 23 มกราคม และเป็นการพบรวดเดียว 2 คนพร้อมๆ กัน
นักท่องเที่ยวสัญชาติจีน 2 คนถูกตรวจพบว่ามีเชื้อโควิด-19 ในวันที่เป็นวันแรกสุดของตรุษญวน หรือวันขึ้นปีใหม่ของเวียดนามพอดิบพอดี
ทางการเวียดนามประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรงเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 6 ราย
วันที่มีการตรวจสอบพบผู้ติดเชื้อรายสุดท้าย คือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เป็นผู้ป่วยชายวัย 50 ปี ทางการใช้ชื่อย่อว่า “เอ็นวีวี” เป็นชาวอำเภอซอนเลย ในจังหวัดวินห์ฟุก ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดสำคัญที่สุดของเวียดนาม มีผู้ติดเชื้อจากที่นี่มากถึง 11 คน
“เอ็นวีวี” ได้รับเชื้อจากบุตรีวัย 23 ปี ระบุตัวตนด้วยชื่อย่อ “เอ็นทีดี” ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ลูกจ้างของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอู่ฮั่น เมืองที่เป็นจุดเริ่มและเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ในจีนเมื่อ 17 มกราคม
ในบรรดาคนทั้ง 8 ของกลุ่มพนักงานกลุ่มนี้ มีอยู่ถึง 6 คนที่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 มาจากอู่ฮั่น
คนทั้ง 6 ส่งต่อเชื้อร้ายแรงนี้ให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนๆ อีก 5 คน รวมทั้งเด็กทารกวัยเพียง 3 เดือน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ติดเชื้ออายุน้อยที่สุดของเวียดนาม จนถึงขณะนี้
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ทางการเวียดนาม โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศ “ปิดตาย” ซอนเลยทั้งอำเภอ รวมทั้งประชากรทั้งหมด 10,600 คน ห้ามออกนอกเขตอำเภอ พร้อมกับห้ามบุคคลภายนอกเดินทางเข้าไป
กำหนดระยะเวลาปิดซอนเลยทั้งอำเภอคือ 20 วัน ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
นายแพทย์ปาร์กกีดง ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำเวียดนามให้สัมภาษณ์เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชื่นชมในความสำเร็จของเวียดนาม
คุณหมอปาร์กชี้ว่า ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้คือ การดำเนินงานในเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกันโดยตลอดทั้งระบบของการตอบสนองต่อภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาด
ตัวแทนองค์การอนามัยโลกชี้ให้เห็นว่า เวียดนามกระตุ้นให้ระบบตอบสนองต่อวิกฤตของตนทำงานได้เร็วมาก ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการแพร่ระบาด
ระบบการตอบสนองต่อวิกฤตด้านสุขอนามัยของเวียดนามมีตั้งแต่การเพิ่มความเข้มของการตรวจสอบ เฝ้าระวัง, การเพิ่มศักยภาพของห้องปฏิบัติการให้สามารถตรวจทดสอบได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การใช้มาตรการป้องกันการระบาดและควบคุมการระบาด รวมไปถึงการบริหารจัดการผู้ติดเชื้อในสถานบริการด้านสุขภาพ
ที่สำคัญคือ การสื่อสารถึงความเสี่ยงของโรคอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
แต่ทั้งคุณหมอปาร์ก และวู ดึค ดาม รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ทิ้งท้ายเอาไว้เหมือนๆ กัน นั่นคือ สงครามกับไวรัสครั้งนี้ยังห่างไกลจากจุดสิ้นสุดอีกมาก
“ถ้านี่เป็นสงคราม เราก็เพียงแค่เพิ่งชนะยกแรกเท่านั้นเอง” รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามย้ำไว้อย่างนั้น