ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
THE SALESMAN
กำกับการแสดง
Asghar Farhadi
นำแสดง
Taraneh Alidoosti
Shahab Hosseini
Babak Karini
หลังจากได้รับรางวัลหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมไปเมื่อสองสามปีก่อนด้วยเรื่อง A Separation อัสก์ฮาร์ ฟาร์ฮาดี ผู้กำกับหนังชาวอิหร่าน ก็ชนะใจคนดูและกรรมการไปอีกครั้งด้วยหนังเรื่องใหม่ของเขาในชื่อ The Salesman
อีกครั้งที่เรื่องราวดราม่าที่ฟาร์ฮาดีเขียนเองกำกับฯ เอง ค่อยๆ ดึงเราเข้าไปอยู่กับตัวละคร และตรึงเราไว้จนแทบไม่ให้กระดิกตัว แทบจะต้องกลั้นหายใจในช่วงท้ายๆ ก่อนจบ
ไม่มีใครในวงการละครและวรรณคดีที่จะไม่รู้จักบทละครคลาสสิคเลื่องชื่อของนักเขียนอเมริกัน อาร์เธอร์ มิลเลอร์ เรื่อง Death of a Salesman ซึ่งถือเป็นโศกนาฏกรรมสมัยใหม่ของคนที่มีค่านิยมผิดๆ ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ลงเอยอย่างน่าเศร้า ด้วยชีวิตของ วิลลี่ โลแมน ซึ่งเป็นเซลส์แมนที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตตระเวนขับรถไปขายของในเมืองต่างๆ และลินดาผู้ภรรยา ซึ่งลงท้ายด้วยโศกนาฏกรรมตามชื่อของบทละคร
ความหมายของชื่อหนัง The Salesman ได้มาจากบทละครเรื่องนี้ ซึ่งตัวเอกของเรื่องสวมบทบาทการแสดงในละครเวทีของคณะละครในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์มากมายในชีวิตของตัวเอกที่ผันแปรชีวิตของพวกเขาไป
หนังเปิดเรื่องด้วยภาพของเตียงนอน ซึ่งต่อมาเราจะได้รู้ว่าเป็นเตียงนอนในฉากละครเรื่องที่กำลังซ้อมกันอยู่และกำลังจะเปิดแสดงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
แล้วต่อมา เราก็เจอเอมัด (ชาฮับ ฮอสเซอินี) ในตึกอพาร์ตเมนต์สูง ซึ่งกำลังเกิดเรื่องสับสนอลหม่านอยู่ เพื่อนบ้านพากันร้องเรียกให้อพยพออกจากตัวตึกที่ตกอยู่ในความเสี่ยงของการพังทลายลงมา
เอมัดร้องเรียกภรรยาชื่อ รานา (ทาราเนห์ อาลิดูสตี) ให้รีบหนีออกจากอาคารโดยเร็ว ท่ามกลางความโกลาหลของเพื่อนบ้านที่ต้องทิ้งบ้านไปอย่างกะทันหัน และไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่าเกิดเหตุอะไรกันแน่ ได้แต่เห็นผนังอพาร์ตเมนต์แตกร้าวอย่างน่าหวาดกลัวว่าจะพังลงเมื่อไรก็ไม่รู้ได้
ต่อมาจึงมีคำอธิบายจากภาพรถขุดดินที่กำลังปรับที่ดินที่ติดกับอาคารเพื่อการก่อสร้าง
นี่คือภาพของสังคมที่ใกล้จะภินท์พังลงจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่คุกคามอยู่
เพื่อไม่ต้องเสี่ยงกับการที่ตึกอพาร์ตเมนต์ทั้งหลังจะพังลงเมื่อไรก็ไม่รู้ เอมัดกับรานาจำต้องหาที่อยู่ใหม่โดยเร็วไว ในขณะที่ชีวิตและอาชีพการงานยังต้องดำเนินต่อไปตามปกติ
เอมัดเป็นครูสอนวิชาวรรณคดีในโรงเรียนมัธยมชาย ชั้นเรียนของเขาเป็นนักเรียนชายวัยรุ่นที่กำลังคะนองและเฮฮา เขาให้นักเรียนอ่านเรื่องสั้นของนักเขียนอิหร่าน โกลัม-ฮอสเซอิน ซาเอดี เรื่อง The Cow
ซึ่งเป็นเรื่องของหมู่บ้านในชนบทซึ่งมีตัวละครที่มีวัวอยู่ตัวเดียว รักและผูกพันกับวัวมาก จนเมื่อวัวตายไป ใครๆ กลัวเขาจะเสียใจมาก จึงหลอกให้เชื่อว่าวัวหายไป เขาเฝ้าติดตามหา และค่อยๆ แปรสภาพตัวเองกลายเป็นวัว กินหญ้าและร้องมอๆ
เมื่อนักเรียนในชั้นถามว่า “คนจะกลายเป็นวัวไปได้ยังไง”
เอมัดตอบว่า “ทีละเล็กทีละน้อย” ท่ามกลางเสียงเฮฮาในชั้นเรียนที่เย้าแหย่กันว่า “ไปดูตัวเองในกระจกสิ”
โกลัม-ฮอสเซอิน ซาเอดี ดัดแปลงเรื่องของเขาเป็นบทละคร ซึ่งต่อมานำไปสร้างเป็นหนังโดยมี ดาริอุช เมห์รจูอิ เป็นผู้กำกับฯ ใน ค.ศ.1969 หนังเรื่องนี้ได้รับยกย่องโดยทั่วไปว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในกลุ่มคนทำหนังคลื่นลูกใหม่ของอิหร่าน
และเมื่อนักเรียนในชั้นอยากดู เอมัดก็นำมาฉายให้ดูในชั้นเรียน
เรื่องของเรื่องคือ ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมงานในคณะละครที่กำลังจะเปิดแสดง เอมัดกับรานาได้เข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ ที่ยังคาราคาซังกันอยู่กับผู้เช่าคนก่อน ผู้เช่าคนก่อนยังไม่ได้ย้ายของออกไปหมด และการสนทนาทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น นอกจากเสียงคุกคามของผู้หญิงคนนั้นที่ห้ามแตะต้องสมบัติที่หล่อนทิ้งไว้ชั่วคราว
ค่ำวันหนึ่งขณะที่รานาอยู่คนเดียวและกำลังจะอาบน้ำ เธอเปิดประตูทิ้งไว้รอสามีที่กำลังจะกลับบ้าน โดยตัวเองเข้าไปอาบน้ำฝักบัวอยู่
เมื่อเอมัดกลับถึงบ้าน เขาเห็นรอยเลือดอยู่บนขั้นบันได อพาร์ตเมนต์เปิดอยู่ และมีร่องรอยเลือดอยู่เต็ม เขาตามไปพบรานาที่โรงพยาบาล เธอบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายในบ้านของตัวเอง
ยิ่งไปกว่าอาการบาดเจ็บทางกาย สภาพจิตใจของรานาบอบช้ำและหวาดระแวงไปหมด แต่กระนั้นเธอก็ไม่ยอมให้สามีไปแจ้งความ ด้วยความอับอายและไม่อยากโดนสอบปากคำ
เอมัดได้รู้จากเพื่อนบ้านว่าผู้เช่าห้องคนก่อนเป็นผู้หญิงที่มีพฤติกรรมไม่ดีนัก พูดง่ายๆ คือเป็นผู้หญิงหากิน เพราะต้องเลี้ยงลูกคนเดียว
ผู้ชายที่ทำร้ายรานา น่าจะเป็นลูกค้าคนหนึ่งของหล่อน ซึ่งดูจะรีบร้อนกลับไปจนทิ้งกุญแจรถไว้ ในสภาพที่เท้าโดนกระจกบาดจนเลือดไหล
เรื่องราวที่ตามต่อมาซึ่งเดินเรื่องสลับไปกับฉากในละครเรื่อง “อวสานของเซลส์แมน” ที่เอมัดเล่นเป็นวิลลี่ และรานาเล่นเป็นลินดา โดยที่ฉากในละครโยงเข้ากับความสัมพันธ์ในชีวิตจริงของเอมัดกับรานาอย่างชาญฉลาด
ในขณะที่รานาต้องการจะลืมเรื่องทั้งหมด…แม้จะด้วยความยากลำบาก แต่เอมัดก็ต้องการจะหาความยุติธรรมส่วนตัว โดยไม่พึ่งพากฎหมาย และเรื่องราวนำไปสู่จุดที่น่าสะเทือนใจมาก
ฟาร์ฮาดีเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างเหมาะเจาะลงตัว ด้วยความหมายแฝงที่ทำให้เรื่องราวกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น แสดงภาพของสังคมสมัยใหม่และความสัมพันธ์ในครอบครัวที่กำลังจะล่มสลาย
ตัวละครทุกตัวมีความสมจริงและนักแสดงเล่นได้ถึงบทบาทอย่างยิ่ง รายละเอียดทุกบททุกตอนก็งามประณีต บอกให้เห็นถึงฝีมือและความคิดละเอียดลออของผู้กำกับฯ รุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งคิดและเขียนบทหนังของตัวเอง จนกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ถาโถมซัดใส่ฝั่งจนประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ
สนุกมากค่ะ เป็นหนังที่ดูซ้ำได้อีกหลายรอบ เพราะน่าจะยังมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างที่อาจมองผ่านเลยไปในการดูหนแรก…
คงต้องหามาดูซ้ำอีกรอบแน่ๆ ค่ะ