ยอมรับตัวเอง ยอมรับผู้อื่น เรื่องที่ ‘เคน ธีรเดช’ เรียนรู้ ในวัย 42 ปี

เหตุเพราะโดนใจกับบท “ชัย” ชายวัย 40 ปี ที่ยอมท้าทายชีวิต

ด้วยการก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง

ด้วยการทลายกรอบทุกอย่างที่เคยมี ทิ้งความไม่กล้า ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อออกเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย

และนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับโลกใบใหม่

โลกที่มีสาวน้อยอ่อนวัยกว่าอยู่ และเธอก็นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาให้ชีวิต

เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ จึงตัดสินใจรับแสดงภาพยนตร์เรื่อง “ฮาร์ทบีท เสี่ยงนัก…รักมั้ยลุง” ผลงานของค่ายทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม ที่กำลังลงโรงฉาย ณ ขณะนี้

“บทน่ารักมาก” คือความรู้สึกที่เขาได้พบเมื่อแรกอ่าน

จากนั้นจึงว่า ถ้าให้เทียบตัวละครในบทกับตัวจริง ก็มีทั้งสิ่งที่เหมือนและต่าง อย่างแรกที่เหมือนคือเรื่องอายุ ที่ปัจจุบันเขาอายุ 42 ปี ขณะที่ “ชัย” ก็ใกล้เคียง

เพียงแต่ “ผมไม่ได้มีความขี้กลัวขนาดนั้น และไม่ได้อยู่ในเซฟโซนขนาดนั้น” แม้ว่าอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ยิ่งวันยิ่งเซฟขึ้นก็เถอะ-เขาบอก

“แต่ก็เข้าใจได้ คือผมเอง ตอนอายุ 20 กว่า กับตอนนี้มันก็ต่างกันนะ ตอนอายุ 20 กว่า ไม่คิดมากเท่านี้ แต่พอแก่ขึ้น โตขึ้น ก็จะมีความยั้งคิด ทำอะไรก็เอ๊ะ! คิดนิดนึงก่อน ชัวร์หรือเปล่า ก่อนที่จะทำอะไรมันก็จะมีอีกชั้นนึง ก็เทียบเคียงตรงนั้นได้”

ส่วนความเหมือนอย่างที่ 2 ซึ่งเป็นการสารภาพพร้อมรอยยิ้มคือ ความกลัวเครื่องเล่นหวาดเสียว

โดยเขาอธิบายเพิ่มว่า ในเรื่องฮาร์ทบีทฯ นั้น มีฉากหนึ่งซึ่งชัยจะต้องขึ้นรถไฟเหาะ เครื่องเล่นที่เมื่อก่อนตอนครั้งกระโน้นเขาก็เคยเล่นได้ ไม่มีปัญหา แถมยังรู้สึกว่าสนุก และตื่นเต้นดีอีกต่างหาก แต่ ณ วันและวัยนี้ อย่าว่าแต่จะขึ้นไปเล่นเองเลย เพราะเพียงแค่ยืนอยู่ด้านล่าง แล้วมองคนอื่นเล่น “ใจก็เต้นตุ้บๆๆๆ แล้ว”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นงาน ก็ต้องพยายามข่มความกลัว

ทั้งยังเล่าบรรยากาศตอนถ่ายทำด้วยว่า พอคัตปั๊บ ก็มีคนถามปุ๊บ “ว่าเมื่อกี๊เล่นอยู่ แสดงอยู่ หรือว่ากลัวจริงๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างดัง

ด้วยเหตุนั้นคุณผู้ชมทั้งหลายจึงไม่ต้องแปลกใจ หากจะรู้สึกว่าเขาแสดงฉากนี้ได้ดีเหลือเกิน

“เป็นซีนที่จะเห็นว่าผมตีบทแตกมาก”

55555

เคนซึ่งถูกเรียกว่า “ลุง” ในหนังบอกอีกว่า ในชีวิตจริง นอกจากลูกหลานตัวเล็กๆ ของคนรอบตัวซึ่งอายุน้อยกว่าเขาแล้ว ไม่ค่อยมีใครที่เรียกเขาว่าลุงหรอก เท่าที่พบมาส่วนใหญ่สมัครใจจะเรียกว่า “พี่” แทบทั้งสิ้น

“ต่อให้เป็นคนที่อายุมากกว่าผม อาจจะอายุ 50 กว่าแล้ว ยังเรียกผมว่าพี่เคนอยู่เลย”

คงเป็นคำเรียกติดปาก คือสิ่งที่เขาคาดการณ์

ในวันที่อายุเพิ่มขึ้น เคนบอกว่า ถ้าให้เขานึกย้อนไปถึงตอนอายุน้อยกว่านี้ แล้วเปรียบเทียบกับปัจจุบัน แน่นอนว่า หลายสิ่งหลายอย่างในความเป็นเขามีความเปลี่ยนแปลง

“เปลี่ยนพร้อมอายุแน่นอนครับ รู้สึกว่าเราโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ยอมรับที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น แล้วก็ยอมรับคนอื่นมากขึ้นด้วย”

เรื่อง “ยอมรับที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น” นั้น เขายกบางตัวอย่างมาประกอบเพื่อความเข้าใจว่า จากเมื่อก่อน ตอนที่เป็นเด็ก บางทีเขาก็ยอมทำงานอะไรตามที่มีคนอยากให้ทำ ทำทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วรู้ตัวดีว่า “ไม่ใช่”

“ด้วยความที่เราเด็ก หรือด้วยงานก็ตาม เราอาจจะเป็นในแบบที่คนเห็นแล้วก็คิดว่านั่นคือภาพที่เราควรจะเป็น”

“แต่พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่า ถ้ามันไม่ใช่ตัวเรา เราก็ไม่มีความสุข”

ดังนั้น ต่อให้ “คนอื่นเห็นอาจจะมีความสุข”

“แต่ว่าลึกๆ แล้วมันไม่ใช่ เราฝืนไปก็ไม่สนุก”

ทุกวันนี้จึงตัดสินใจที่จะไม่ฝืน แล้วเลือกทำทุกอย่างที่ชอบ และคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองดีกว่า

“คนจะบอกว่า ผมไม่เห็นพี่เลย พี่หายไปไหน…ก็คือจะรับแต่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ผมไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต้องไต่เต้าชื่อเสียง ไม่ใช่อยู่ในจุดนั้น”

“เราอยู่ในจุดที่อยากจะทำในสิ่งที่เราชอบ เรารักมันจริงๆ มากกว่า”

เป็นการตัดสินใจเพื่อพาไปสู่เป้าหมายชีวิตที่ตั้งไว้ นั่นคือ “สุดท้ายแล้ว เราต้องได้เป็นคนที่เราอยากเป็น”

“ตอนเด็กๆ เคยมองว่า ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เราอยากเป็นคนแบบไหน และถ้าวันนี้เราได้เป็นคนแบบนั้นแล้ว ผมว่านั่นแหละคือแฮปปี้ที่สุด”

ส่วนประเด็นของการ “ยอมรับคนอื่นมากขึ้น” เขาก็ว่า สมัยนั้น ในบางช่วงของชีวิต เขาก็อยู่ในโหมดไม่ฟังใคร เอาแต่สิ่งที่ใจตัวคิดเป็นหลัก

“ตอนเด็กเราอาจจะคิดว่าคนนี้ไม่ใช่ ก็ไม่เอาเลย แต่พอโตขึ้น ก็รับฟังคนอื่นมากขึ้น เข้าใจและยอมรับสิ่งที่มันเป็นจริงมากขึ้น”

เหล่านี้คือความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับตัวเลขของอายุที่เพิ่มขึ้นของเขา

การเดินทาง-แรงบันดาลใจ

กับชีวิตปัจจุบัน นอกเหนือจากความสุขกับครอบครัวและงานที่เลือกแล้ว เคนบอกว่า เขายังมีความสุขกับการได้ออกเดินทาง ซึ่งที่ผ่านมาก็จับมือภรรยา คือ หน่อย บุษกร และลูกๆ ไปโน่น มานี่ ในบรรดาสถานที่ที่ชอบไป นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งชอบถึงขั้นซื้อบ้านของตัวเองไว้ แล้วไปพักเป็นประจำทุกๆ ปี ช่วงระยะนี้อีกจุดโฟกัสความสนใจของเขาคือ การเข้าไปเดินในป่า

“ช่วงหลังจะชอบชีวิตกลางแจ้ง ฝันว่าอยากไปเดินป่า กางเต็นท์”

“ฝันมาน่าจะ 4 ปีแล้ว”

และก็ทำสำเร็จเมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา

แต่ก็นะ ครั้งเดียวไม่เคยพอ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจ เมื่อไหร่ที่มีเวลาและองค์ประกอบอื่นๆ พร้อม เขาก็จะแพ็กกระเป๋าและก้าวเท้าออกจากบ้านอีก

เพราะ “การเดินทางคือแรงบันดาลใจของผม”