วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร /ประลองเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ (22)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ประลองเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ (22)

 

ไม่ว่าจะมองจากจักรพรรดิ ไม่ว่าจะมองจาก 3 หวัง ไม่ว่าจะมองจากข้าราชบริพารอื่นๆ รวมถึงหนีหวงจวิ้นจู่และเหมยฉางซู การได้รับราชโองการให้มาเข้าเฝ้าน่าจะมีจุดร่วมอย่างเดียวกัน

นั่นก็คือ ทำอย่างไรหนีหวงจวิ้นจู่ไม่ต้องกลายเป็นคู่สมรสกับคนของเป่ยเอี้ยนหรือต้าอวี๋

ดังนั้น เมื่อสมุหราชองครักษ์เหมิงจื้อปรากฏตัวขึ้น “ทูลฝ่าบาท คณะทูตต้าอวี๋และเป่ยเอี้ยน รวมทั้งผู้ชนะเข้ารอบทั้ง 10 ได้พากันเข้าสู่วังหลวงรอพระบัญชาอยู่ที่ด้านนอกพระตำหนัก พ่ะย่ะค่ะ”

ความตื่นเต้นจึงบังเกิด

หากใครอ่าน “บุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา” จะสัมผัสได้ในความนัยบางประการ เหมยฉางซูแม้ได้รับข่าวคราวแต่แรกว่าวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงแต่มิใช่เพื่อพบตัวเขา ที่สำคัญกว่าก็คือ เพื่อทอดพระเนตรผู้เข้าคัดเลือกตำแหน่งจวิ้นหม่าโหว (คำเรียกสามีของจวิ้นจู่) ล่วงหน้า

ขณะกำลังครุ่นคิด จักรพรรดิเหลียงก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้ เหมิงจื้อรับพระบัญชาหมุนตัวเตรียมออกไป ชั่วเวลากลอกลูกตาเขาได้พยักหน้าเล็กน้อยให้เหมยฉางซูโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

ทราบว่าเขาดำเนินการราบรื่น เหมยฉางซูค่อยคลายใจ แต่ใบหน้ายังคงไม่แสดงออก นั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชั่วครู่หนึ่งปรากฏเจ้าหน้าที่เข้ามากราบทูลว่าองค์หญิงจิ่งหนิงเสด็จมาถึง จักรพรรดิเหลียงเผยรอยแย้มพระสรวล

ตรงนี้ต่างหากคืออาการ “รู้กัน” ระหว่างเหมยฉางซูกับเหมิงจื้อ

องค์หญิงจิ่งหนิงเป็นพระธิดาองค์เล็กสุดของจักรพรรดิเหลียง จิตใจงดงาม อุปนิสัยน่าเริง ได้รับความรักเอ็นดูจากพระบิดามากที่สุด

ทว่าเวลานี้กลัวหน้านิ่วคิ้วขมวด หน้าผากหม่นหมอง สีหน้ากลัดกลุ้ม

“ระหว่างทางที่มา หม่อมฉันได้พบเห็นแมวขนยาวสีขาวหิมะตัวหนึ่งจึงไล่กวดตามแมวตัวนั้นไปจนถึงเรือนขังไพร่โดยไม่รู้ตัว เห็นคนในนั้นทำงานหนักตรากตรำ น่าเวทนายิ่งนัก รู้สึกสะท้อนใจ”

พอได้ยินคำ “เรือนขังไพร่” จิ้งหวังกระตุกวูบในใจ

รีบหันมองเหมยฉางซูทันใด กลับเห็นสีหน้าราบเรียบคล้ายจะไม่ได้ยินกระนั้น

เรื่องนี้มิอาจกลายเป็นต่อความยาวสาวความยืดได้ 1 เพราะจักรพรรดิทรงตัดบท และ 1 งานเลี้ยงอันมีคณะทูตานุทูตจากต้าอวี๋ เป่ยเอี้ยน รวมถึงผู้ได้ชัยเริ่มขึ้น

อันไม่เพียงแต่จะนำไปสู่การประลองทางวาจา หากแต่ได้ก้าวล่วงเข้าการประลองฝีมือ

เมื่อจักรพรรดิตรัสขึ้น “ทุกคนล้วนเป็นยอดบุรุษ ไม่จำเป็นต้องแก่งแย่ง เสียดายที่เจิ้นมีราชกิจรัดตัว มิได้ชมดูทุกรอบการประลอง ดังนั้น ไม่คุ้นเคยกับผู้กล้าหลายท่านในที่นี้”

อวี้หวังปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ เข้าใจความหมายของพระบิดาทันที

“กระหม่อมมีข้อเสนอแนะพ่ะย่ะค่ะ มิสู้ถือโอกาสในงานเลี้ยงวันนี้ให้ทั้ง 10 ท่านลับฝีมือกัน ก็นับว่าไม่เลว”

แม้การประลองคู่แรกจะเป็นระหว่างเซียวจิ่งรุ่ยกับเหยียนอวี้จิน แต่ได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ไม่ช้าก็มีคนทยอยลุกขึ้นขอท้าประลองกันไปมา

แต่ละฉากของการต่อสู้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ

ประมาณ 4-5 คู่ผ่านไป ม้ามืดตัวใหญ่สุดไป่หลี่ฉีจึงยอมลุกขึ้นยืนประสานมือที่เบื้องหน้านักสู้ชาวต้าเหลียงซึ่งเพิ่งได้ชัยชนะ

เป็นหลี่เซียว ศิษย์รุ่นปัจจุบันฝีมือโดดเด่นที่สุดของสำนักบู๊ตึ๊ง

พริบตาเดียวผ่านไปหลาย 10 ท่า ยังไม่ปรากฏสถานการณ์เสียเปรียบได้เปรียบแต่อย่างใด แต่แล้วในขณะที่ทุกคนโห่ร้องชมเชยกระบวนท่าไม้ตายที่หลี่เซียวใช้ออกนั้น หนีหวงจวิ้นจู่พลันสูดหายใจลึกพร้อมกับที่เหมิงจื้อโคจรลมปราณตวาดก้อง

“ไม่ได้”

ยังไม่สิ้นเสียง ร่างของหลี่เซียวก็ปลิวคว้างออกไป ถูกเหมิงจื้อถลันเข้าไปรับไว้พยุงให้นั่งพื้น มองดูอีกทีเห็นเหงื่อเย็นเฉียบผุดเต็มหน้าผาก สีหน้าเผือดขาว

เหมิงจื้อยกแขนข้างขวาที่ตกห้อยขึ้นมาตรวจ หว่างคิ้วยิ่งขมวดแน่นกว่าเดิม

แม้เคราะห์ดีที่เมื่อครู่โคจรลมปราณ 10 ส่วนตวาดห้ามปราม ไป่หลี่ฉีจึงไม่ถึงกับกระแทกจนแขนขาด แต่กระดูกกลับหักสะบั้น เส้นเอ็นบอบช้ำสาหัส แม้ชายหนุ่มมิได้เปล่งเสียงครวญคราง แต่จากแววตาหมองหม่นสะท้อนให้เห็นว่าเขารู้ตัวเองดี

การบาดเจ็บในวันนี้ เกรงว่าต่อไปไม่อาจฝึกปรือฝีมือให้ก้าวหน้าได้อีก

สถานการณ์เพิ่มความเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทางด้านทูตเป่ยเอี้ยน เจ้านายของไป่หลี่ฉี ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่า

“นี่เป็นการประลองฝีมือ เลี่ยงไม่ได้ต้องมีการบาดเจ็บ

และผู้คนใต้หล้าต่างรับรู้กันทั่ว แคว้นเราเทิดทูนผู้แข็งแกร่ง จวิ้นจู่เป็นชนชั้นนักรบทแกล้วกล้า สมควรทราบดีว่าในสมรภูมิรบไม่มีคำว่า “ปรานี” ดังนั้น การกระทำของผู้กล้าไป่หลี่ฉีไหนเลยนับเป็นความผิดได้”

สภาพการณ์ยิ่งร้อนแรงถึงขั้นแม้เซียวจิ่งรุ่ยจะท้าประลองกับไป่หลี่ฉี แต่ได้รับการปฏิเสธจากทูตแคว้นเป่ยเอี้ยนว่า “วันนี้ไม่สู้แล้ว”

ภาระจึงตกลงบนบ่าของนักวางแผนอย่างเหมยฉางซูในที่สุด