มุกดา สุวรรณชาติ : ชิม ช้อป ใช้ ของ “ป้าภา” ต้องทนอยู่ ของ “ธนาธร” ไม่ยอมทน

มุกดา สุวรรณชาติ

สาเหตุที่…ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อยู่ไม่เป็น เพราะรู้มากไป

ล่าสุดไปพบโครงการชิม ช้อป ใช้ แบบพิเศษ เมื่อทนไม่ได้ คิดปกป้องผลประโยชน์เป็น 10,000 ล้านของประชาชน ก็จะถูกทำให้อยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเสียสละทั้งแรงกาย ความคิด และเงินมากแค่ไหน ในเมื่อไปขัดประโยชน์ผู้มีอำนาจ เขาต้องถูกกำจัด

ส่วนชาวบ้านอย่างป้าภา ก็เคยได้เงินจากโครงการชิม ช้อป ใช้ รู้คุณค่าของเงิน 1,000 บาท ยังรู้สึกเสียดายที่รัฐกำลังหว่านเงินไม่ตรงจุด

ป้าภาไม่ถูกกำจัด แต่จะอยู่แบบยากลำบากต่อไป

 

ชิม ช้อป ใช้ ไม่ถึงรากหญ้า

วันนี้ป้าภากำลังเอาใจช่วยลูกที่ใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการจ้องลงทะเบียนชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 หลังจากเฟส 1 ไม่ได้คิดจะทำเพราะดูข่าวแล้วคนแข่งกันลงทะเบียนตอนดึกตอนดื่น

แต่เฟส 2 ลงทะเบียนหกโมงเช้ากับหกโมงเย็น รอบละห้าแสนคน รวมวันละหนึ่งล้านคน ลูกตื่นตีห้ามาเตรียมลงทะเบียน ปรากฏว่าเช้าวันแรกลูกทำไม่สำเร็จเพราะคนเยอะมากแย่งกันลง

ป้าภาว่าคนไทยครึ่งประเทศกระมังที่รอแย่งกันลงทะเบียน พอรอบเย็นจะเริ่มตอนหกโมงเย็น คราวนี้ทำได้

สามวันผ่านไป มือถือป้าภามี SMS ส่งมาว่า “ลงทะเบียนชิมช้อปใช้สำเร็จที่จังหวัด… โปรดยืนยันตัวตนผ่านแอพพ์เป๋าตังทันที และเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 31 ตุลาคม-13 พฤศจิกายน 2562” แต่วันรุ่งขึ้นก็มี SMS ส่งมาอีกว่า “ยืนยันตัวตนไม่สำเร็จ สามารถลองใหม่ได้สามครั้งหรือนำบัตร ปชช.ติดต่อสาขา”

“สงสัยว่าภาพถ่ายแม่มันอาจจะไม่เหมือนในบัตร แบบเฟส 1 มีปัญหา ต้องทาแป้งกันนั่นแหละแม่ งั้นแม่ก็ไปแบงก์ เอาบัตรประชาชนไปสแกน” ลูกเดาจากข่าวที่ได้ยินได้ฟังมาตลอดจากเฟส 1

รุ่งขึ้นป้าภารีบไปธนาคารแต่เช้า แต่ก็ยังช้ากว่าชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่ยืนออกันแน่นขนัดอยู่หน้าประตู ในมือถือบัตรประชาชนกันเกือบทุกคน มายืนยันตัวตน

ระหว่างรอธนาคารเปิด ป้าภาเห็นตำรวจวัยห้าสิบกลางๆ ยื่นสมาร์ตโฟนให้ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยถ่ายภาพให้ เพราะต้องมีภาพถ่ายยืนยันตัวตนกันทุกคน

แต่มีภาพถ่ายแล้วก็ใช่จะผ่านง่ายๆ ต้องเอาบัตรประชาชนมาสแกน พอธนาคารเปิดประตู ทุกคนก็พุ่งเข้าไปสังเกตดูคนรอบข้าง หลายคนมากับลูก ให้ลูกช่วยเป็นธุระให้ก็จะทำได้เร็ว

แต่บางคนมาคนเดียวแบบบ้าบิ่นบินเดี่ยว ก็ทำให้เกิดเสียงพนักงานอธิบายให้หลายคนฟังซ้ำๆ กัน น้ำเสียงก็เลยชักเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

“ป้า มือถือกดปุ่มทำไม่ได้ ต้องสมาร์ตโฟนเท่านั้นค่ะ”

“ทุกคนเลยนะคะ ต้องมีเน็ตส่วนตัวด้วย มีอีเมลด้วยค่ะ” คราวนี้พนักงานเสียงดังให้คนทั้งห้องได้ยิน

“นี่ของลุงยังไม่มี SMS ยืนยันเลยนะคะ กลับไปรอที่บ้านก่อนค่ะ จนมีข้อความมาแบบนี้ค่อยมา” พนักงานชี้ข้อความจากมือถือบนโต๊ะให้ดู

“นี่น้องคะ เบอร์นี้มีคนใช้สิทธิแล้วนะคะ หนึ่งเบอร์หนึ่งสิทธิเท่านั้นค่ะ”

“ทุกคนเตรียมเปิดข้อความที่เขาส่งมาว่า “ยืนยันตัวตนไม่ผ่านฯ” ไว้เลยนะคะ พร้อมจดเบอร์โทรศัพท์ด้วย ต้องใช้สองอย่างนี้นะคะ”

ป้าภารีบทำตามคำแนะนำ และผ่านการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนบัตรประชาชนเรียบร้อย แกถอนใจเฮือกขณะก้าวออกมาจากธนาคาร

อดคิดไม่ได้ว่าจะมีกี่คนที่ไม่มีลูกทำให้แล้วสามารถทำเองได้

แต่ร้านขายของชำในหมู่บ้านไม่ร่วมโครงการ เพราะชาวบ้านละแวกนี้เข้าไม่ถึงโครงการสมัยใหม่จ๋าแบบนี้หรอก ไม่รู้จะทำอะไรให้มีสิทธิได้ซื้อของราคาหนึ่งพันบาท

แม้แต่แกเอง ไม่เก่งพอจะสมัครชิม ช้อป ใช้ ได้ด้วยตนเองในชาตินี้

คนที่มีโอกาสได้ใช้เงินหนึ่งพันนี้คือคนที่มีสมาร์ตโฟน และใช้ได้คล่องแคล่ว ทำรายการตามที่สั่งได้อย่างรวดเร็วภายในสามนาทีได้ด้วย

สุดท้ายไปพบร้านที่ร่วมโครงการอยู่ไกลออกไป 6 กิโล แต่ก็ไม่มีสินค้าที่ต้องการ เลยได้ตะกร้าหวายกับปิ่นโตมา

แต่แล้วความเสียดายเงินก็เอ่อขึ้นมา เมื่อมีครูสองคนมาหา เพื่อมาขายเบอร์ที่นอน แกคิดตำหนิในใจ อ้าว…ครูขายเบอร์ขายสลากด้วย ขายเบอร์ละร้อย

พอครูออกจากบ้านไปจึงรู้ความจริงว่าครูมาขายเบอร์หาเงินจ้างครูมาสอนเดือนละสามพัน อาจจ้างได้สี่ห้าเดือนแล้วแต่เงินที่คนช่วยซื้อสลาก จ้าง ป.ตรีเอกคณิต จ้างเอกคอมพ์เพื่อมาช่วยเรื่องธุรการ หรือจ้างมาดูแลเด็กเล็กช่วยสอนบ้าง ป.ตรีตกงานเป็นแสนคน ไม่มีการจ้างครูเพิ่ม มีแต่ยุบโรงเรียน

บางคนยอมรับเงินเดือนสามพันดีกว่าไม่มีอะไรทำ หรือเพื่อขอใบรับรองไปสอบ วัดบางแห่งช่วยเรื่องอาหารกลางวัน ประเทศไทยคงเลิกลงทุนเพื่อการศึกษาโดยสิ้นเชิงแล้ว

ชาวนาจนๆ และคนตกงานควรได้เงินช่วยเหลือมากที่สุดแต่ก็ไม่มีใครช่วย ลูกบอกว่านี่เป็นเงินภาษีที่เก็บจากชาวบ้านไปเป็นงบประมาณให้รัฐมาใช้บริหารประเทศ …ไอ้ที่แจกนี่ก็เป็นการบริหารหรือ แกก็ได้แต่ถามลูกว่ายังไม่เลือกตั้งมันจะมาแจกทำไม

ชิม ช้อป ใช้ เป็นโครงการที่ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย เหมือนฝนโปรยมาบางเบาเปียกเฉพาะผิวดิน ไม่กี่ชั่วโมง ลึกลงไปยังแห้งผากไม่มีน้ำสักหยด

 

แม้ธนาธรไม่ได้เป็น ส.ส.
แต่ได้เป็นกรรมาธิการงบประมาณ

ธนาธรกล่าวว่า กรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร คือ คณะกรรมการชุดเล็ก ที่สภาผู้แทนราษฎรที่มี 500 คน ไม่สามารถพิจารณาร่วมกันได้หมดทุกเรื่อง จึงตั้งคณะกรรมการชุดเล็กขึ้นมาในประเด็นต่างๆ กฎหมายต่างๆ ดังนั้น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ก็มีการตั้งกรรมาธิการมาพิจารณาเช่นเดียวกัน โดยในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลได้วางงบประมาณไว้ 3.2 ล้านล้านบาท และแบ่งงบประมาณไปยังกระทรวงต่างๆ

หน้าที่ของกรรมาธิการก็ไปดูว่างบประมาณตัวไหนใช้จ่ายไปแล้วไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน พวกเราเป็นตัวแทนของประชาชนที่เลือกเข้ามา เราจึงมีการพิจารณาตัดลดงบประมาณที่ไม่เหมาะไม่ควร เอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น และเราก็นำไปอภิปรายและตัดงบฯ ต่างๆ ในทุกกระทรวง

เขาบอกว่า เงินงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท จะแบ่ง 2.7 ล้านล้านบาทมาจากเงินภาษีประชาชน และอีก 5 แสนล้านบาท รัฐบาลจะกู้มา

“นายธนาธร” กล่าวถึงตัวเลขงบประมาณว่า ในงบกระทรวงกลาโหมได้รับงบฯ 2.3 แสนล้านบาท คือเงินในงบประมาณที่ กมธ.สภาฯ ตรวจสอบได้ มองเห็นได้

เขาพบว่า กระทรวงคมมนาคมมีงบฯ ผูกพันเยอะมากที่สุด แต่เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าอาจมีการเส้นทางสัญจรต่อเนื่องมาก

ขณะที่กระทรวงกลาโหมรองลงมา โดยก่อหนี้มากซึ่งกระทบกระทรวงอื่น ที่จะได้งบฯ น้อยลง

กรณีที่กระทรวงกลาโหมตั้งงบฯ รายจ่ายลงทุนไว้สูง แต่ใช้จริงไม่เต็มโควต้าที่ระบุ เช่น ปี 2561 และ 2562 ก็ใช้ไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ทำให้กระทรวงอื่นหมดโอกาสในการนำเงินไปลงทุน ดังนั้น ตนเคยเสนอตัดงบฯ รายจ่ายลงทุนไป 40% ให้ใช้ 60%

เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี งบประมาณจึงควรไปใช้ในการจัดการภาวะเศรษฐกิจ ไม่ควรเพิ่มหนี้สินให้กับประเทศในเวลานี้ ขณะที่ประเทศไม่มีภัยสงครามที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต 3-5 ปี ที่จะต้องไปลงทุนยุทโธปกรณ์มหาศาลในภาวะที่เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ซึ่งไม่ได้บอกว่ากองทัพไม่ควรที่จะเพิ่มศักยภาพ

แต่ไม่ใช่การลงทุนยุทโธปกรณ์และงบฯ รายจ่ายกว่า 30,000 ล้านบาทในปี 2563 นี้

 

ค้นพบเงินนอกงบประมาณ
ที่อาจเป็นโครงการสวัสดิการ ชิม ช้อป ใช้
แบบพิเศษ

ธนาธรเข้าไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ แค่ไม่กี่วันก็พบว่ายังมีเงินนอกงบประมาณที่หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของทรัพยากรและนำไปใช้ให้เกิดรายได้ ที่ไม่ต้องส่งเข้าคลัง

และเงินนอกงบประมาณนี้ กรรมาธิการและสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถไปแตะต้องได้ เพราะเป็นของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมี 19,000 ล้านบาท

และเงินตัวนี้ใหญ่แค่ไหน ขอยกตัวอย่างว่าสามารถใช้จ่ายได้ 3 กระทรวง เงินตัวนี้สามารถนำไปสร้างรถไฟรางคู่ จากนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ที่ใช้งบฯ ลงทุน 2 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น เงินนอกงบประมาณของกลาโหมเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะไม่มีคนเห็น และกลาโหมมีกฎหมายพิเศษ ที่สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากตัวแทนประชาชน หรือในสภาผู้แทนราษฎรเลย

“หากเราอยากรู้ว่ากลาโหมเอาเงินมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากรที่เป็นของประชาชน แต่เราไม่รู้ ไม่มีรายละเอียด ตรวจสอบไม่ได้

…กองทัพบกมีรายได้นอกงบประมาณที่ประชาชนพอรู้ แต่ไม่ละเอียด คือ การเช่าโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดิน คลื่นวิทยุ กองทัพไทยมี 198 สถานี, กองทัพบก 127 สถานี, กองทัพอากาศ 36 สถานี, กองทัพเรือ 21 สถานี และกองบัญชาการ 14 สถานี รวม 537 สถานี และสัมปทานช่อง 7 ไม่มีการประมูลใหม่ตลอดช่วง 50 ปี ไม่เคยมีใครเคยเห็นสัญญาว่าทำอย่างไร ซึ่งมูลค่าหลายพันล้าน

แต่เราไม่เคยเห็นงบฯ ของช่อง 5 กำไรหรือขาดทุนเท่าไร

ช่องวิทยุของทหาร สัมปทานให้ใครบ้าง หรือจำนวนเท่าไร ซึ่งผมขอรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการสัมปทาน รายได้ค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้นดิน นอกจากนี้ ยังมีเงินที่อยู่นอกงบประมาณที่นำไปใช้ในภารกิจที่อยู่นอกเหนือกระทรวงกลาโหม นั่นคือ การเปิดสนามมวย สนามม้า สนามกอล์ฟ ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภารกิจของกระทรวงกลาโหมเลย และรายได้จากการดำเนินการเหล่านี้เป็นเงินเท่าไร อีกทั้งสถานะเหล่านี้คืออะไร ใครเป็นผู้ดำเนินการ สังคมไม่รู้ งบการเงินก็ยังมองไม่เห็น”

สิ่งที่ธนาธรพูดมา ต้องรอดูกันว่าเราจะได้ข้อมูลคำตอบจากผู้รับผิดชอบหรือไม่ เพราะตอนที่ กสทช.ประมูลคลื่นโทรทัศน์ ก็ได้เงินมาเยอะ

 

กิจกรรมพิเศษ
เช่น สนามมวย สนามม้า ก็มีรายได้

สนามมวยลุมพินีที่ใหม่ ถ.รามอินทรา เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทหรือไม่ เราไม่รู้ รู้เพียงว่าตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ทหาร อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสวัสดิการทหารบก แต่ไม่ได้อยู่ในผังองค์กรกรมสวัสดิการฯ และใช้งบประมาณ 380 ล้านบาท เราก็ไม่รู้ว่าใช้งบฯ นั้นจากเงินส่วนใด เงินของประชาชนเสียภาษีหรือไม่ รู้เพียงว่า ผบ.ทบ.เป็นประธานอำนวยการ

ส่วนสนามม้า กองทัพบก มี 2 แห่ง คือสนามม้าหนองฮ้อ ที่เชียงใหม่ และสนามกีฬาทหารนครราชสีมา อยู่ในค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับสนามม้าเชียงใหม่ มีแต่ข้อมูลสนามม้าโคราช สนามม้ามีการพนัน โดยปัจจุบันการพนันม้าต้องปฏิบัติตามระเบียบแข่งขันม้าของมหาดไทย ที่กำหนดว่าผู้จัดต้องขอใบอนุญาตทุกเดือน จึงมีคำถามว่า แล้วได้มีการขอหรือไม่ ใครถือใบอนุญาต

รายได้การเข้าชมและการพนันแข่งม้าเข้าที่หน่วยงานใดบ้าง ทุกอย่างควรถูกต้องโปร่งใส

เราก็ถามไปยังกระทรวงกลาโหม ก็รอดูว่าจะตอบพี่น้องประชาชนอย่างไร ซึ่งเห็นว่าหากจะต้องมีมวย มีสนามม้าอยู่ ก็ควรทำให้ถูกต้องว่า ใครจะบริหารก็ประมูลแข่งกัน ทำสัญญาให้ชัดเจนโปร่งใส ไม่ต้องมีใต้โต๊ะ กลางโต๊ะ ไม่ได้บอกให้ยกเลิกมวย ยกเลิกม้า แต่เราควรทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้โปร่งใส มิเช่นนั้นจะเกิดข้อสังสัยว่านายพลจะมีเงินรายได้หลักล้านได้อย่างไร ในเมื่อเงินเดือนราชการมีจำนวนไม่มาก

เรื่องปฏิรูปงบประมาณกองทัพ เรื่องภารกิจทางพาณิชย์ที่ไม่ได้อยู่ในภารกิจของกองทัพเลยต้องเลิกทำ กองทัพจะไปนั่งเป็นบอร์ดเอกชน รัฐวิสาหกิจต้องเลิกให้หมด

 

อยู่ไม่เป็น หรือ อยู่อย่างยิ่งใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่มีนักการเมืองตั้งข้อสงสัยอย่างเปิดเผย ต่อการหารายได้และการใช้จ่ายของฝ่ายทหาร ที่ใช้เงินนอกงบประมาณเหล่านี้ นี่ไม่ใช่งบฯ ใต้ดินที่ไปทำกันเป็นส่วนตัว หรือทำธุรกิจหาเงินใช้กันเอง แต่ทำตามโครงการที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่และสถานที่ของราชการ เรื่องนี้จะถูกทำให้เงียบไปหรือจะออกมาตอบโต้ แถลงถึงความสุจริต มีบัญชีตัวเลขแสดง ก็ต้องรอดูกันต่อไป

แต่สิ่งที่จะเกิดกับธนาธร คือตัวชี้วัด ถ้าหากมีการกระทำใดๆ ที่เร่งให้ธนาธรไม่สามารถพูดต่อได้ หรือติดตามเรื่องนี้ได้ก็แสดงว่า สิ่งที่ธนาธรพูดมาเบื้องหลังที่น่าสงสัยและต้องติดตามเปิดเผย

เส้นทางทางการเมืองของธนาธรมีทั้งข่าวและมีผู้คาดเดาไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร ทีมงานกำลังรอให้มีการขยับตัวของแต่ละฝ่าย ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายใน 10 วันนี้ และจะมาวิเคราะห์ในโอกาสต่อไป

การสั่งไม่ให้นายธนาธรทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา เป็นไม้แรกของการสกัดกั้นจากนั้นก็มีการฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิ์การเป็น ส.ส. เหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่ทำมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันมองจากเป้าหมายนี้แล้วพวกเขาหวังกำจัดบทบาทของธนาธรไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้อีก

เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมโพสต์ข้อความระบุว่า

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพี่น้องประชาชนลุกขึ้นยืนตรง ไม่ยอมก้มหัวให้กับระบอบเผด็จการ ไม่ยอมทนกับระบอบที่กดหัวประชาชนไว้…อีกต่อไป