วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร /กองทัพ อัคคีแดง แรงฤทธี (20)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

กองทัพ อัคคีแดง แรงฤทธี (20)

หากไม่นำเอาการต่อรองระหว่างเหมยฉางซูกับจิ่งหวังมาศึกษา หากไม่นำเอาการสนทนาระหว่างเหมยฉางซูกับเหมิงจื้อมาศึกษา
ไฉนจะหยั่งรู้ความแยบยลอันเหมยฉางซูจัดวางเอาไว้
ความตื่นเต้นประการหนึ่งของเหมยฉางซูคือ การรับรู้ว่าอย่างน้อยไท่หวงไท่โฮ่วยังมีสำเหนียกรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของหลินซูห์
แม้ผู้คนทั้งหลายจะคิดว่า “เสียสละ” ไปแล้ว
“ขณะที่ทรงเรียกขานข้าว่า ‘เสี่ยวซูห์’ แววพระเนตรอบอุ่นปานนั้น ข้าจึงรู้สึกว่าพระนางไม่ได้เรียกผิด ข้าเป็นเพียงเสี่ยวซูห์ของท่าน ซึ่งเดิมก็สมควรปรากฏตัวต่อหน้าท่านอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านถึงได้ทรงปลื้มปีติ ไม่รู้สึกแปลกพระทัยแต่อย่างใด”
ในความเลอะเลือนไปตามอายุขัยก็ยังมีตะกอนแห่งความทรงจำดำรงอยู่
แต่ความตื่นเต้นมากยิ่งกว่านั้นยังอยู่ที่ 1 เงื่อนงำการดำรงอยู่ของทายาทของฉีหวัง และ 1 คือการเก็บงำความลับนี้เอาไว้อย่างล้ำลึกของจิ่งหวัง
ตรงนี้ต่างหากที่ถูกแปรมาเป็น “สะพานเชื่อม” อย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง

“พี่เหมิง ในเมื่อวันนี้มาแล้ว ข้าพอดีมีคำถามอยากถามท่านข้อหนึ่งหลายปีนี้ พวกเราติดต่อกันลับๆ หลายครั้ง ท่านไฉนถึงไม่ยอมบอกข้าว่าฉีหวังมีบุตรชายคนหนึ่ง”
“ท่านว่ากระไร” เหมิงจื้ออุทาน ร่างแทบกระโดดขึ้นจากพื้น
“แม้แต่ท่านก็ไม่ทราบหรือ” เหมยฉางซูประหลาดใจเช่นกัน “จิ่งเหยียนเก็บความลับได้มิดชิดนัก แต่ก็โทษเขาไม่ได้ ถ้าข่าวแพร่งพรายเข้าหูรัชทายาทหรืออี้หวังถิงเซิงคงไม่รอด”
ถิงเซิงนั้นเองคือจุดร่วมระหว่างเหมยฉางซูกับจิ่งหวัง
“เรื่องราวเป็นมาอย่างไรข้าเองก็หมดปัญญาคาดเดา ทว่าพระชายาสติปัญญาหลักแหลม พี่ซิ่วถงก็กล้าหาญไม่เป็นรองใคร ล้วนเป็นสตรีผู้กล้าที่ไม่ยอมน้อยหน้าบุรุษ อีกทั้งเวลานั้นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวของฉีหวังถูกพวกนางคุ้มครองปกป้องด้วยชีวิตแล้วนำไปซ่อนไว้ในเรือนขับไพร่
นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ดูจากท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของจิ่งเหยียนที่มีต่อถิงเซิงน่าจะมั่นใจในฐานะของเด็กคนนั้นได้ คงไม่ผิดแน่
เด็กถูกทารุณกรรมตั้งแต่เล็ก ผิวพรรณเหลืองซีด แต่ดวงตา-คิ้วยังมีเค้าของฉีหวังอยู่”

ไม่เพียงแต่จิ่งหวังจะผูกพันกับฉีหวังในฐานะเป็นน้อง ไม่เพียงแต่เหมยฉางซูจะผูกพันกับฉีหวังในฐานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
หากแม้กระทั่งเหมิงจื้อก็ผูกพันอย่างลึกซึ้ง
“ยังจำศึกที่หุบเขาหูหลูได้ไหม หากไม่ใช่ฉีหวังคว้าเชือกบังเหียนของข้าเอาไว้ได้ เกรงว่าข้าคงหล่นลงไปในกับดักของศัตรูแต่แรกแล้ว หุบเขาหูหลูหากถูกตีแตก บิดาท่านคงตัดศีรษะข้าออกมาเตะแรงๆ ให้หายแค้นแน่”
“ท่านพ่อตอนนั้นไม่ให้ความเชื่อถือท่านเป็นความจริง” เป็นการยอมรับจากเหมยฉางซู
“แต่ต่อมาท่านพ่อเคยพูดว่า ด้านการแยกแยะคน ท่านพ่อเทียบฉีหวังไม่ได้ ฉีหวังสามารถคัดเลือกพี่เหมิงซึ่งไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไรจากเหล่าทหารหาญนับพันนับหมื่นในการแสดงฝึกซ้อมวิชาฝีมือครั้งหนึ่งได้ ท่านพ่อกลับไม่มีสายตาแหลมคมเช่นนี้”
“แต่ถ้าพูดถึงความเชี่ยวชาญชำนาญศึก ผู้ใดเทียบเทียมบิดาท่านได้” นั่นเป็นการยกย่องจากเหมิงจื้อ
“กองทัพอัคคีแดงรุกถึงที่ใด มีทัพข้าศึกไหนบ้างที่ไม่แตกพ่าย น่าโมโหที่ไม่นานข้าก็ถูกย้ายออกจากกองทัพอัคคีแดง หากได้อยู่สะสมประสบการณ์กับฉีหวังและบิดาท่านนานกว่านั้นสักหลายปี เกรงว่าคงรุดหน้ากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่”
“มีสูญเสียย่อมมีได้มา” เหมยฉางซูทอดถอนใจ
“หากท่านไม่ถูกโยกย้ายไป ไม่ต้องพูดถึงว่าศึกเมื่อ 12 ปีก่อนท่านจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ อาศัยแค่ตำแหน่งเก่าในกองทัพอัคคีแดงท่านคงไม่มีวันขึ้นมานั่งในตำแหน่งสมุหราชองครักษ์ได้”
ไม่เพียงเท่านั้น เหมิงจื้อยังได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับ 1 ในทำเนียบหลางยาอีกด้วย

ไม่ว่าการเลือกที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวง ไม่ว่าการเลือกที่จะอาศัยเซียวจิ่งรุ่ย เซี่ยปี้ เหยียนอวี้จิน เป็นสะพานเชื่อมเข้ามาพำนักอยู่ในเรือนเสวียลู่ภายในคฤหาสน์ใหญ่ของเซี่ยอวี้
อันเป็นดัง “เสาศิลาพิทักษ์ราชสำนัก”
“อย่างน้อยก็ช่วยขจัดความยุ่งยากไปได้พอสมควร” เหมยฉางซูสรุปให้เหมิงจื้อฟังด้วยน้ำเสียงปานน้ำแข็ง
เย็นเยียบเสียดกระดูก
“หลอกใช้ 3 คนนั้นพาเข้าเมือง สามารถเข้าถึงบุคคลสำคัญในราชสำนักได้อย่างรวดเร็ว นับว่าดีมากกว่าหากเทียบกับการถูกรัชทายาทหรืออวี้หวังมัดมือมัดเท้าให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในนครจินหลิง”
นั่นย่อมกระจ่างสว่างแก่ใจ