อยู่เป็น-ไม่เป็น ก็ต้อง “อยู่” / ฉบับประจำวันที่ 22-28 พฤศจิกายน 2562

ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติอะไรออกมาตามความคาดหมาย
กรณีความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะสิ้นสุดลงหรือไม่ จากกรณีการถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
นั่นคือ นายธนาธรไม่รอด
เมื่อองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติข้างมาก 7 ต่อ 2
ให้สมาชิกภาพของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้สั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่
และให้ถือว่าวันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัย หรือวันที่ 20 พฤศจิกายน เป็นวันที่ตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อเลื่อนรายชื่อ ส.ส.ในลำดับถัดไปแทนตำแหน่งที่ว่างลงภายใน 7 วัน
โดยศาลรัฐธรรมนูญตีตกข้อโต้แย้งของนายธนาธรตกเกือบทิ้งหมด และชี้ว่า มีข้อพิรุธหลายจุด รวมทั้งไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานของผู้ถูกร้องได้
ดังนั้น จึงฟังได้ว่า นายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย และประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ ในวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
จึงทำให้สมาชิกภาพของนายธนาธรสิ้นสุดลง

การที่ศาล รธน.ตัดสิทธิการเป็น ส.ส. นั่นหมายถึง เขาก็จะพ้นสภาพการเป็น ส.ส.อย่างเป็นทางการทันที
ซึ่งนายธนาธรหวังว่า นั่นจะเป็นที่สุดแห่งการฝันร้ายทางการเมืองแล้ว
คือเป็นความผิดเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวพันกับการที่จะใช้เป็นเงื่อนไขตัดสิทธิทางการเมืองของตน และนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่นายธนาธรหวัง
เพราะคาดว่าคงจะมีคนกดดันให้ขยายผลต่อไป
และ กกต.เองระบุว่ากำลังพิจารณาว่านายธนาธรจะมีความผิดทางอาญาหรือไม่
ฐานมีเจตนาหรือจงใจ ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งที่รู้ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ เพราะถือหุ้นสื่อก่อนเลือกตั้ง หรือไม่
ซึ่งหากขยายผลไปถึง
นั่นจะเท่ากับนายธนาธรกระทำการทำผิด ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151 มีการบัญญัติว่า
ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี”
จะเห็นว่า มีโทษหนัก จำคุกถึงสิบปี และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี
ซึ่งนั่นเท่ากับอนาคตคทางการเมืองของนายธนาธรแทบจะดับวูบลงทันที
เชื่อว่าจะมีการขยายผลเรื่องนี้ต่อไปแน่นอน

ขณะเดียวกัน เรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขั้นการยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่
ก็ต้องพยายามโยงให้ไปถึงมาตรา 132(3) ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งบัญญัติโดยสรุปว่า
“หากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรครู้เห็น ปล่อยปละละเลยหรือทราบถึงการกระทํานั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต.เสนอคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองนั้น และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นด้วย”
ซึ่งก็หากมีความพยายามลากไปให้ถึง และก็คงมีคู่อริดำเนินการแน่
นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่คงต้องต่อสู้กันอย่างเต็มที่
และแบบไร้ทางเลือก
นั่นก็คือ ไม่ว่าจะเลือกอยู่เป็น หรือเลือกอยู่ไม่เป็น ก็ต้อง “อยู่”
อยู่ เพื่อสู้ให้มีจุดยืนทางการเมืองให้ได้
มิฉะนั้นก็จะเป็นเรื่องเศร้าของฝ่ายสนับสนุน ที่พรรคการเมืองซึ่งฟูมฟักมาไม่ถึงหนึ่งปี แม้จะพบความรุ่งโรจน์รวดเร็ว น่าทึ่ง
แต่ก็ต้องเผชิญกรรม ถูกกำจัดให้พ้นจากสนามการเมืองไปอย่างรวดเร็ว
สะท้อนให้เห็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของแนวทางใหม่ ให้กับแนวทางอนุรักษ์ที่พิสูจน์ตัวแล้วว่าหยั่งลงในสังคมไทย ลึกขนาดไหน
ดังนั้น จึงไม่มีทางเลือกสำหรับนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ ต้อง “กลืนเลือด”
อยู่ต่อไป!!