ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
คุณผู้อ่านเคยเป็นไหมคะ เวลาเรายืนอยู่ต่อหน้าใครสักคน บางทีใจเราก็เผลอคิดอะไรแว้บขึ้นมาซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไหร่
อย่างเช่น ทรงผมคนนี้ประหลาดจัง คนนี้เสียงแหลมแสบแก้วหูสุดๆ หรือ ฉันไม่ชอบคนนี้เลยแต่ฉันก็น่าจะต้องทักเขาอยู่ดีนะ ฯลฯ
แล้วทันทีที่คิดแบบนั้นปุ๊บ ก็จะตามมาด้วยความคิดว่า “โห นี่ถ้าเขารู้ว่าฉันคิดอะไรในใจเงียบๆ เมื่อกี้เนี่ย เขาจะต้องโกรธมากแน่ๆ หรืออาจจะเลิกคบฉันไปเลยก็ได้”
โชคดีที่มนุษย์เราไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของกันและกันได้
ความสามารถในการอ่านใจเป็นพลังวิเศษที่มักจะถูกถ่ายทอดเอาไว้อยู่ในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง
ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า “เทเลพาธี” หรือการถ่ายโอนความคิดจากคนคนหนึ่งไปสู่คนอีกคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้จริงหรือไม่
แต่ก็มักจะล้มเหลวทุกครั้งไป และยังไม่มีหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่าความสามารถนี้มีอยู่จริง
สุดท้ายก็ถูกชุมชนวิทยาศาสตร์มองว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ลวงโลกเท่านั้น
มาจนถึงวันนี้ ความก้าวหน้าในประสาทเทคโนโลยี หรือการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ก็ทำให้เราสามารถอ่านหรือเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมองได้
จนนำไปสู่ความกังวลว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นจนสามารถที่จะหยิบฉวยข้อมูลออกมาจากสมองของคนอื่นได้แล้ว สิทธิมนุษยชนของเราจะถูกล่วงละเมิดหรือไม่
บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีการอ่านสมอง ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จาก UCSF ที่สนับสนุนโดย Facebook เพิ่งจะยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะใช้เทคโนโลยีคลื่นสมองในการถอดรหัสคำพูด
Neuralink ของ Elon Musk ก็กำลังเดินหน้าพัฒนาและทดสอบการฝังอุปกรณ์ที่จะสามารถอ่านความคิดของคนได้
ค่ายรถยนต์อย่าง Nissan ก็เปิดตัวเทคโนโลยี Brain-to-Vehicle หรือการให้รถยนต์ของเราแปลค่าสมองของผู้ขับว่าต้องการจะทำอะไรเป็นลำดับถัดไป
เช่น เลี้ยว เร่ง เบรก และเตรียมพร้อมให้รถยนต์สนองคำสั่งได้รวดเร็วขึ้น
โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีนี้มาช่วยในการวินิจฉัยโรคและรักษาอาการบางอย่างของผู้ป่วย เช่นเดียวกับวงการเกมที่ใช้เครื่องมืออ่านคลื่นสมองมาช่วยให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมผ่านการนึกคิดได้
หลังจากนี้อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นดีไวซ์ต่างๆ ที่เล่นกับคอนเซ็ปต์การอ่านสมองวางขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในบางกรณี เทคโนโลยีการอ่านสมองถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนทำงาน
อย่างเช่นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า SmartCap อุปกรณ์สวมศีรษะที่ดูภายนอกคล้ายๆ กับหมวกเบสบอล แต่ข้างในมีการเดินสายสำหรับใช้อ่านคลื่นสมองหรือ EEG
ประโยชน์ของมันก็คือการคอยตรวจจับว่าผู้สวมใส่มีอาการเหนื่อยล้าแค่ไหน เพื่อช่วยระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน และเพิ่มผลิตผลของแรงงาน
หมวกจะสามารถเตือนคนที่ทำอาชีพคนขับรถได้ว่าตอนนี้สมองเกิดอาการง่วงและล้าแล้วหรือยัง
มีรายงานข่าวว่าบริษัททำเหมืองหลายแห่งในออสเตรเลียนำหมวกอ่านสมองนี้ไปใช้กับพนักงานของตัวเองแล้ว
เนื่องจากตัวตรวจจับเหล่านี้สามารถช่วยเตือนล่วงหน้าได้ว่าตอนนี้คนงานเหมืองได้รับพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ในระดับที่จะส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงต่อสมองแล้วหรือไม่
แม้ว่าเทคโนโลยีการสแกนสมองสมัยใหม่จะยังไม่สามารถดึงความคิดออกมาจากหัวของคนได้เหมือนอย่างการ์ตูนโดราเอมอน ข้อจำกัดของมันก็คือ มันสามารถดึงสัญญาณมาเฉพาะจากพื้นผิวของกะโหลกศีรษะและเข้าไปลึกกว่านั้นไม่ได้
ดังนั้น ความคิดอะไรก็ตามที่อยู่ลึกๆ หรือความทรงจำต่างๆ ก็จะยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างแน่นหนา
เทคโนโลยีที่จะสามารถเข้าไปถอดรหัสความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ได้แบบที่ไม่ต้องเจาะหรือเปิดอะไรออกมาก็น่าจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 10-15 ปีข้างหน้า หรือไม่แน่…เราอาจจะไม่มีทางไปถึงจุดนั้นกันเลยก็ได้
ในตอนนี้สิ่งที่พอจะสามารถทำได้ก็คือการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่ออ่านอารมณ์ว่าเป็นบวก ลบ หรือกลางๆ คนคนนั้นกำลังวิตกกังวลหรือไม่ กำลังจะชักหรือเปล่า
หรือเอาไว้จับความคิดง่ายๆ อย่างเช่น การคิดถึงรูปทรงบางรูป คำศัพท์ง่ายๆ บางคำ หรือชุดตัวเลขที่ไม่ซับซ้อน
ก่อนหน้านี้หลายปี นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐก็เคยทำการทดลองด้วยการให้อาสาสมัครนั่งดูคลิปภาพยนตร์ จากนั้นก็สแกนสมองของพวกเขาและนำภาพจากคลิปนั้นกลับมาปะติดปะต่อกันใหม่อีกครั้ง
แม้ว่าการเข้าไปล้วงทุกซอกทุกมุมของความคิดในหัวคนจะยังมาไม่ถึงเร็วๆ นี้ หรืออาจจะมาไม่ถึงเลยก็ได้ ก็ไม่ยากเกินจะคาดเดาว่ามันจะเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ และจะสามารถเผยข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมในสมองมนุษย์ได้มากและชัดขึ้น
จริงอยู่ที่การอ่านสมองจะช่วยทำให้มนุษย์เรามีปฏิสัมพันธ์กับอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวได้รวดเร็วมากขึ้น แต่เรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องขบคิด ข้อมูลในสมองของเราควรจะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา ไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังคิดนั้นเป็นลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่า หรือแค่ภาพการ์ตูน ตัวอักษร ตัวเลขสุ่มๆ ที่ไม่ได้มีมูลค่าทางการเงินอะไรก็ตาม
อันที่จริง แค่ความสามารถในการปั้นสีหน้าเพื่อหลอกให้คนเข้าใจว่าเรามีอารมณ์แบบหนึ่ง ทั้งๆ ที่จริงอารมณ์ของเราเป็นอีกแบบก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่ควรมีใครมาพรากจากเราไปได้ด้วยการกระโดดข้ามมาอ่านอารมณ์ที่แท้จริงของเรา
แฮ็กเกอร์ที่เจาะเข้าคอมพิวเตอร์เราก็น่ากลัวแล้ว ต่อไปก็ยังต้องระวังแฮ็กเกอร์ที่จะเจาะเข้ามาขโมยความคิดในสมองเราด้วย
แม้จะเร็วไปหน่อยที่จะกังวลในตอนนี้
แต่สุภาษิตโบราณที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ก็ยังใช้ได้อยู่เสมอ