จรัญ มะลูลีม : ปฏิบัติการล้อมโลกด้วยความรุนแรงของ IS (1)


มาเลเซีย-อินโดนีเซีย

หลังจากสถานบันเทิงโมวีดา (Movida entertainment) ถูกถล่มผู้นำ IS ของมาเลเซียในเมืองภุชงค์ (Puchong) กล่าวเตือนรัฐบาลมาเลเซียว่าการถล่มครั้งใหญ่จะตามมาอีก

มุฮัมมัด วันดี้ มุฮัมมัด เจดี กล่าวกับ New Straets Times ว่า การโจมตีสถานบันเทิงโมวีดาเป็นการเตือนรัฐบาลที่มุ่งทำลายกองกำลังของ IS

เขากล่าวต่อไปว่า หากเจ้าหน้าที่ยังคงใช้มาตรการพิเศษด้านความมั่นคงลงโทษสมาชิก IS การโจมตีขนาดใหญ่ก็จะตามมา

สำหรับ IS สถานการณ์ความรุนแรงในการโจมตีสถานบันเทิงโมวีดา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 คนนั้นถือเป็นการโจมตีเล็กๆ เท่านั้น หากเปรียบเทียบกับการโจมตีครั้งใหญ่ที่จะตามมาในอนาคต

IS ถือว่าโมวีดาเป็นสถานที่แห่งบาป ซึ่งคนหนุ่มมุสลิมมาเที่ยวอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีการโจมตีขนาดเล็ก เพื่อเตือนชาวมุสลิมมิให้พวกเขาทำบาปและหันกลับมาสู่แนวทางอันถูกต้องของพระเจ้า

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อัล-อัดนานี แกนนำของ IS เรียกร้องให้ชาวมุสลิมถือเอาเดือนเราะมะฎอนเป็นเดือนแห่งความเจ็บปวดของผู้ไร้ศรัทธา (a month of pain for infidels)

อินโดนีเซีย

เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดในอินโดนีเซียเป็นระยะๆ เช่นเดียวกันโดยเฉพาะการมุ่งการโจมตีไปที่สถานบันเทิงและที่ทำการของรัฐบาล

ทั้งนี้ การระเบิดพลีชีพใกล้กับสถานีตำรวจในเมืองโซโล อินโดนีเซียในวันที่ 5 กรกฎาคม ทำให้มือระเบิดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 1 นาย เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คาดว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของผู้นิยม IS


อิรัก

หนึ่งในเหตุการณ์ที่มาจากการระเบิดรถยนต์ที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุดถึง 213 คน ได้เกิดขึ้นในอิรัก

การระเบิดซึ่ง IS อ้างว่าเป็นผู้กระทำนี้ เกิดขึ้นในเขตการ์ราดา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา การ์ราดาเป็นพื้นที่ที่มีทั้งผู้คนและร้านค้ารวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นก่อนการสิ้นสุดเดือนเราะมะฎอนที่ผ่านมา

การโจมตีดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนอิรักที่มองว่ารัฐบาลไม่มีความสามารถในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนให้รอดพ้นไปจากการกลับมาของ IS

รัฐบาลอิรักภายใต้นายกรัฐมนตรี ฮัยเดอร์ อัล-อะบาดี ประกาศไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตสามวันพร้อมยืนยันว่าจะ “ลงโทษ” ผู้ก่อการระเบิดครั้งนี้ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่าสองร้อยคน การระเบิดในอิรักเกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากกองกำลังของอิรักสามารถยึดคืนเมื่อฟัลลูญามาจาก IS ได้ เวลานี้ในอิรักจะมีแค่เมืองมีโมสุลอันเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิรักเท่านั้นที่รอการปลดปล่อยเป็นเมืองสุดท้าย

การระเบิดยังคงมุ่งไปที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ถือสำนักคิดชีอะฮ์ อันเป็นสำนักคิดที่ผ่ายซุนนีสุดโต่งถือว่าเป็นคนนอกศาสนา


บังกลาเทศ

ผู้มีการศึกษาดีและมาจากครอบครัวผู้มั่งคั่ง กลายเป็นมือปืนสังหารตัวประกัน 20 คนที่คาเฟ่ในกรุงธากาเมืองหลวงของบังกลาเทศ

เหตุการณ์ในบังกลาเทศแสดงให้เห็นว่ารูปแบบของนักรบพลเรือนติดอาวุธที่มาจากผู้มีความยากจนและสุดโต่งและศึกษาอยู่ในโรงเรียนสอนศาสนา (มัดเราะซะฮ์) กำลังกลายเป็นความล้าสมัยของการก่อการร้ายรูปแบบใหม่

ชายหนุ่มทั้ง 6 คน ที่ออกปฏิบัติการถูกยิงตายทั้งหมดเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ต่อกับช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม หลังจากผู้ก่อการ ซึ่งน่าจะเป็น IS ได้ยึดคาเฟ่ในกรุงธากามาตลอดทั้งคืน

อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าหนึ่งใน 6 คนเป็นคนบริสุทธิ์ที่เดินผ่านมาพอดี แต่ที่เหลืออีกห้าคนล้วนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียง หนึ่งในนั้นมีอายุแค่เพียง 18 ปี มาจากโรงเรียนชั้นนำและเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่พรรคที่ปกครองบังกลาเทศอยู่ในเวลานี้

ในฐานะนักรบพลเรือนติดอาวุธ IS ได้ใช้ความพยายามเกณฑ์คนหนุ่มที่เป็นขนชั้นกลางมาเข้าร่วมกับพวกตน เวลานี้พบว่าความพยายามของรัฐบาลที่จะขจัดความสุดโต่งโต้กลายมาเป็นสิ่งที่มีความสับสนมากยิ่งขึ้น

“พวกเขาเป็นคนหนุ่มมีการศึกษาดีและมาจากครอบครัวที่มีฐานะ” อะซาดุสซามาน ข่าน รัฐมนตรีมหาดไทยของบังกลาเทศกล่าว และเหตุที่พวกเขาอยากเป็นนักต่อสู้ “ก็เพราะว่ามันเป็นแฟชั่น”

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าชาวซาอุดีอาระเบียที่เป็นสลัดอากาศในเหตุการณ์ 9/11 ก็มาจากครอบครัวคนร่ำรวยเช่นกัน

ในเวลาต่อมาตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์ได้ยืนยันว่าชาวบังกลาเทศสองคนที่จบชีวิตลงในการโจมตีคาเฟ่ที่กรุงธากานั้นเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยโมนาช (Monash) วิทยาเขตมาเลเซีย

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ตันศรี คอลิด อะบูบากัร ไม่อาจตัดสินได้ว่าสองคนที่กล่าวถึงเป็นผู้โจมตีหรือเป็นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อกันแน่

แม้ทางการบังกลาเทศยืนยันว่า IS ยังเข้ามาไม่ถึงบังกลาเทศก็ตาม

แต่ขณะนี้ได้มีการสอบสวนถึงความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเขาน่าจะมีความเชื่อมโยงกับ IS ในจำนวนตัวประกันที่เสียชีวิต นอกจากจะเป็นชาวบังกลาเทศ 3 คนแล้ว ยังมีชาวต่างประเทศอีก 17 คน ประกอบด้วยชาวอิตาลี 9 คน ชาวญี่ปุ่น 7 คน และอินเดีย 1 คน หลายคนจบชีวิตลงอย่างทุกข์ทรมานจากอาวุธมีคม

ซาอุดีอาระเบีย

ผลงานความรุนแรงของ IS ได้เข้ามาประชิดกงสุลสหรัฐในนครญิดดะฮ์ที่อยู่ติดกับทะเลแดงด้วยระเบิดพลีชีพ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม อันเป็นวันเอกราชของสหรัฐในเวลาตีสอง 15 นาที

ระเบิดครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยสองคน ทั้งนี้ เสียงระเบิดได้เกิดขึ้นก่อนการละหมาดช่วงรุ่งอรุณ (ละหมาดศุบฮิ) ซึ่งมีสุเหร่าอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ไม่มีคำพูดใดๆ ยืนยันว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ หากนับจากปลาย ค.ศ.2014 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของซาอุฯ และชนกลุ่มน้อยชีอะฮ์มักจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงที่มาจาก IS

เหตุการณ์นี้มีผู้ต้องสงสัย 4 คนเสียชีวิต อีก 2 คนระเบิดตัวเองตาย ในเวลาเดียวกันได้มีการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพเกิดขึ้นอีกในนครมะดีนะฮ์ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สองของอิสลาม ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิตใน 4 นาย บาดเจ็บ อีก 5 นาย

เชื่อกันว่าการโจมตีนครมะดีนะฮ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของ IS เช่นกัน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่มีการละหมาดอัศริ อันเป็นการละหมาดช่วงบ่ายคล้อยในมัสญิดนะบาวี

อย่างไรก็ตาม ระเบิดพลีชีพที่เกิดขึ้นอยู่ในบริเวณที่เป็นลานจอดรถ ไม่ได้อยู่ในบริเวณมัสญิด

การโจมตีซึ่งเข้ามาใกล้ศาสนสถานดังกล่าวที่มีความสำคัญที่สุดในศาสนาอิสลามไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าจะมีความพยายามยึดอำนาจของรัฐมาก่อนในศาสนสถานที่นครมักกะฮ์ก็ตาม การโจมตีศาสนสถานดังกล่าว นอกจากจะได้รับการประณามจากโลกมุสลิมแล้วยังได้รับการประณามจากมุสลิมชีอะฮ์ในอิหร่านด้วยเช่นกัน

โดยอิหร่านเรียกร้องให้เกิดเอกภาพในการต่อสู้กับกลุ่มสุดโต่งอย่าง IS อย่างจริงจัง


ตุรกี

5 กรกฎาคม ได้มีผู้ก่อการร้ายจำนวนหนึ่งเปิดฉากใช้ปืนและระเบิดพลีชีพเข้าโจมตีสนามบินนานาชาติอะตาเติร์ก ในส่วนที่เป็นเทอร์มินัลขาออก

นับเป็นการโจมตีหนึ่งในศูนย์กลางทางธุรกิจของยุโรปที่ครำคร่าไปด้วยผู้คน ซึ่งอย่างน้อยทำให้มีผู้เสียชีวิต 43 คนเป็นชาวต่างชาติที่เสียชีวิต 19 คน และมีผู้บาดเจ็บ 239 คน

IS เริ่มตอบโต้ประเทศต่างๆ ที่เป็นปรปักษ์กับตนเองอย่างหนักหน่วง หลังจากสูญเสียเมืองที่ยึดครองเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง