จับตาบท“พี่ชายที่แสนดี” “พี่ป้อม-น้องตู่” แกะรอยไอเดียปรองดอง“บิ๊กป้อม”บนเส้นทางสมานฉันท์

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำสำเร็จ ที่จุดกระแสการสร้างสามัคคีปรองดองขึ้นมา จนทำให้ทุกฝ่ายขานรับแนวคิดที่จะให้ทุกพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง มาพูดคุยกับคณะกรรมการของกลาโหม เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน แม้จะมีข้อท้วงติง ข้อเสนอ และมุมมองที่แตกต่างกันไป

“ผมเพิ่งคิดเลย แล้วก็ไปขายไอเดียกับนายกฯ ก็เห็นว่า โอเค มีความเป็นไปได้สูง ผมพูดออกข่าวไปแค่ 2 ครั้ง ทุกฝ่ายออกมาขานรับ” บิ๊กป้อม กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ด้วยเพราะก็คิดมาตลอดว่า ถ้าไม่ปรองดอง ไม่พูดคุยตกลงกัน มันจะไปต่อกันยังไง ก็ต้องให้มาคุย แล้วตกลงกันว่า จะไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง และยอมรับผลการเลือกตั้ง

“ไม่เคย ผมยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับนักการเมืองคนไหน หรือพรรคไหนมาก่อน ผมคุยกับนายกฯ คนแรก แล้วก็ออกข่าว เพื่อดูว่ามีกระแสตอบรับมั้ย”

“ก็ทั้งอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังเห็นด้วย แม้แต่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเข้าใจเลย อดีตนายกฯ สมชาย วงษ์สวัสดิ์ ก็ขานรับนะ” บิ๊กป้อม กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ส่วน ลุงกำนัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. นั้น ไม่ใช่ไม่สนับสนุน เขาพร้อมจะร่วมปรองดอง แต่จะไม่ลงนามใน MOU เท่านั้น

AFP PHOTO

“ผมก็คิดว่า ผมจะไม่บังคับว่าจะต้องลงนามใน MOU จะลงหรือไม่ลงก็ได้ หรือในที่สุด อาจจะไม่ต้องลงนาม แต่ขอให้มาพูดกัน เสนอความต้องการ เสนอความเห็น และหาข้อตกลงร่วมกัน ที่จะอยู่อย่างสันติสุขให้ได้ แค่นั้น ไม่ลงนาม MOU แต่ก็จะเป็นเหมือนสัญญาประชาคม ที่มีให้ไว้กับประชาชน โดยผ่านคณะกรรมการของกลาโหม” พล.อ.ประวิตร กล่าว

โดยคณะกรรมการนี้มี บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม เป็นประธาน ร่วมด้วย ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ รวมทั้ง พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ รอง เสธ.ทบ./ผอ.ศูนย์ปรองดอง และ บิ๊กลภ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ที่จะมานั่งฟังด้วยตนเอง

แต่กองทัพไม่ต้องลงนาม ใน MOU สัญญาว่าจะไม่ปฏิวัติ เพราะทหารไม่ได้อยากจะปฏิวัติ แต่ที่ผ่านมา เพราะบ้านเมืองเดินไปไม่ได้ ขัดแย้ง

“ขออย่าคิดไปเอง อย่ากลัวปฏิวัติ ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย” บิ๊กป้อม ชี้

เพราะไม้เด็ดของบิ๊กป้อม ก็คือ จะมีการบันทึกคำพูดของพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มาคุยกับคณะกรรมการของกลาโหมไว้ทั้งหมด ทั้งเป็นเอกสาร และบันทึกเทป เพราะฉะนั้น ใครพูดอะไรไว้ คำพูดก็ย่อมเป็น “นาย” ตัวเอง

หากในอนาคต มีการไม่ทำตามที่ได้สัญญาประชาคมไว้ ประชาชนก็จะเป็นคนตัดสินเองว่า นักการเมืองคนนั้นๆ เป็นอย่างไร

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

เหล่านี้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จึงตั้งคณะกรรมการ ป.ย.ป. ขึ้นมา แล้วมอบให้ “พี่ใหญ่” รับหน้าที่สายปรองดอง

“ไม่ใช่เพราะผมมีบารมีอะไร แต่เพราะผมเป็นคนคิดเรื่องนี้ นายกฯ ก็เห็นว่าผมทำได้” พล.อ.ประวิตร ระบุ

แต่เรื่องที่รู้จักนักการเมืองทุกขั้วทุกพรรค ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไร แค่รู้จัก แต่ไม่เคยไปคุยเรื่องเล่นการเมือง เรื่องตั้งพรรคการเมืองอะไร แบบที่มีข่าวมาตลอด

“ไม่มีดีล ผมไม่เคยดีลกับใคร แล้วผมก็จะไม่ดีลกับใคร” บิ๊กป้อม ยัน

ไม่ว่าจะดีลเปิดเผย หรือดีลลับใดๆ ก็ไม่มี

ดังนั้น จะเห็นว่า ในกระบวนการสร้างสามัคคีปรองดองนี้ จะไม่มีการคุยเรื่องการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม หรือการขออภัยโทษใดๆ

“อะไรที่เป็นเรื่องคดี เรื่องกฎหมาย ผมไม่คุย ยิ่งเรื่องคนทำผิดแล้วจะให้กลายเป็นไม่ผิด ผมไม่คุย” บิ๊กป้อม ยัน

prawit

นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร ไม่คิดที่จะยึดโมเดล “ป๋าเปรม” ที่เคยใช้นโยบาย 66/23 ในการแก้ไขปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในยุคก่อน เพราะสถานการณ์วันนั้นกับตอนนี้ แตกต่างกัน

“ยุคนี้ ไม่มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ไม่มีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มีแค่ความคิดเห็นที่แตกต่างที่จะต้องอาศัยการพูดคุย ปรองดองกันเองของคนในชาติ ในการแก้ปัญหา” บิ๊กป้อม ย้ำ

ยกเว้นในกรณีเดียวว่า ถ้ามีอะไรที่ติดขัดในกระบวนการปรองดอง จนทำให้เดินไปไม่ได้ ก็อาจจะต้องออกกฎหมายรองรับ

“แต่ผมจะไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ล้างโทษ ล้างผิดให้ใคร” บิ๊กป้อม ยัน

แต่ดีลที่ว่า หลังเลือกตั้งแล้วจะไฟเขียวให้มีนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษนั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่า เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะตกลงกันเอง หลังเลือกตั้ง ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว

“ไม่มีดีลอื่น” บิ๊กป้อม ปัด

ไม่ว่าจะดีลตั้งพรรคทหาร พรรคนอมินีทหาร หรือการต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง หรือการสนับสนุนนักการเมืองคนใดเป็นนายกรัฐมนตรี หรือหนุนทหารคนไหนเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก

ด้วยเพราะในเวลานี้ กระแสข่าวยังคงสะพัดถึงสูตรการเมืองหลังการเลือกตั้งในกลางปี 2561 และดีลในการจัดตั้งรัฐบาล ที่เกรงกันว่าในที่สุด อาจต้องไปจบลงในค่ายทหารอีก

ทั้งชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดูเหมือนว่า ตอนนี้ยังคงไร้คู่แข่ง

นอกเสียจาก พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่เอง ที่อาจมีพรรคการเมืองบางพรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ คนนอก

หรือบางพรรคการเมือง อาจเล่นเกมด้วยการเสนอชื่อทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ เลย

“ไม่ต้องห่วงไม่มีใครมาเสี้ยมผมกับนายกฯ ได้ อยู่ด้วยกันมาตั้งเท่าไหร่” บิ๊กป้อม เปรย

AFP PHOTO / Christophe ARCHAMBAULT / AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT

งานนี้ จึงกลายเป็นที่จับตามองว่า พล.อ.ประวิตร ในฐานะพี่ใหญ่ใน คสช. และพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ จะทำหน้าที่ “พี่ชายที่แสนดี” กรุยทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรัก หรือไม่

แต่ในทางกลับกัน ก็ตั้งข้อสังเกตถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร ทำงานปรองดองอย่างเปิดเผย และเต็มตัว ในการพูดคุยประสานกับนักการเมือง แม้ว่า พล.อ.ประวิตร อาจจะไม่ได้นั่งหัวโต๊ะเจรจาเองก็ตาม

แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องคอยคุมเกมอยู่ห่างๆ และอาจถึงขั้นต้องยกหูคุยโทรศัพท์ หรือเปิดเซฟเฮ้าส์หารือลับ เมื่อถึงเวลา

นั่นอาจหมายถึง การเปิดโอกาสให้พี่ใหญ่ได้แสดงบทบาทเต็มที่ และเหมือนจะเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนายกฯ คนนอก ก็เป็นได้

จะเห็นได้ว่า ความรักความผูกพันของพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” นั้น ลึกซึ้ง พี่และน้องช่วยเหลือหนุนเนื่องกันมา

พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งอยู่ในกองทัพ จนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ก็สนับสนุน บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ได้เติบโตใน ทบ.

ทั้ง 3 พี่น้อง ก้าวขึ้นเป็นผู้การกรม เหมือนกัน แม้ พล.อ.ประวิตร จะฉีกไปเติบโตที่ ร.2 รอ. และ ร.12 รอ. ถิ่นบูรพาพยัคฆ์ ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ร.21 รอ. ทหารเสือราชินี ก็ตาม แต่ก็ถือว่าโตมาใน พล.ร.2 รอ. ด้วยกัน

แล้วทั้ง 3 คน ก็ได้เป็นทั้ง ผบ.พล.ร.2 รอ. เหมือนกัน เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และขึ้นห้าเสือ ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. เหมือนกัน

หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะอยากจะเปิดทางให้พี่ชายที่แสนดี ที่ดูแลเขามาตลอดกว่า 40 ปี คนนี้ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง ก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลก

แต่อยู่ที่ว่า ดวงชะตาของ พล.อ.ประวิตร ถึงเก้าอี้นายกฯ หรือไม่ เท่านั้น

 

แต่ในสายบูรพาพยัคฆ์ เชื่อกันว่า บิ๊กป้อม ยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดี ที่ทำเพื่อน้องรักคนนี้ มากกว่าทำเพื่อตนเอง

แต่ที่แน่ๆ ทั้งคู่อยากทำให้บ้านเมืองสงบสุข…

“เฮ้ย บอกกี่ทีแล้วว่า ไม่คิดจะเล่นการเมืองเลย” บิ๊กป้อม ตัดบท

“รู้มั้ยว่า ทุกวันนี้ ผมเหนื่อยมาก ในชีวิตไม่เคยเหนื่อยอย่างนี้มาก่อน ตอนเป็นทหาร รับราชการมาจนวันนี้ 40-50 ปี จนคิดว่า จะไม่ไหวแล้ว”

“นี่ถ้าบ้านเมืองไม่มีปัญหา ป่านนี้ผมได้ไปพักผ่อนสบายไปแล้ว 12 ปี แต่นี่ต้องมาทำงานหนัก ถามหน่อยว่า เพื่ออะไร เพื่ออำนาจเหรอ แล้วผมเอาอำนาจไปทำอะไร ไปหาประโยชน์เหรอ ผมว่าทุกวันนี้ผมก็มีทุกอย่างเพียงพอแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากเห็นบ้านเมืองสงบสุข” พล.อ.ประวิตร กล่าว

“ผมไม่ได้ร่ำรวยหรอก ผมบอกเลย แต่ผมเพียงพอแค่นี้ ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว” บิ๊กป้อม ย้ำ

“ผมแก่แล้วนะ 72 แล้ว ผมแก่ที่สุดใน ครม. เลย”

“หมดหน้าที่จากตรงนี้ ผมจะขอนอนต่อเนื่องกัน 5 วัน ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไรเลย ชดเชยที่นอนดึก ตื่นเช้า แล้วจากนั้นก็จะไปเที่ยวต่างประเทศ ไปทุกที่ที่อยากไป”

เพราะแค่นี้ พล.อ.ประวิตร ก็โดนโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนักมาตลอด

“ทั้งๆ ที่ผมเข้ามาช่วยทำให้บ้านเมืองสงบนะ แต่ทำไมต้องมาด่า มาโจมตีผมจังเลย ไม่คิดเลยหรือว่า ผมเป็นทหารผมก็ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองมามากมาย ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น”

บิ๊กป้อม ตัดพ้อ

AFP PHOTO / POOL / Luong Thai Linh

สมัยเป็นนายทหารเด็กๆ พล.อ.ประวิตร เล่าว่า ไปรบในลาวและเวียดนาม หลายปี

“เอาชีวิตรอดกลับมาได้ มีแขนขาครบ ไม่ขาดไม่ตายก็บุญแล้ว ไม่มีใครคิดตรงนี้เลย” บิ๊กป้อม กล่าว

แต่ด้วยเพราะการเป็นทหาร ที่ถูกปลูกฝังมาว่า ประเทศชาติต้องมาก่อน จึงทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องเข้ามาในวังวนการเมือง จนทุกวันนี้

“ทุกครั้งที่แต่งเครื่องแบบทหาร ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่า หน้าที่เราคือ ทำบ้านเมืองให้สงบสุข” บิ๊กป้อม เผยความรู้สึก

ยิ่งวันนี้ รับหน้าที่สร้างสามัคคีปรองดองด้วยแล้ว บิ๊กป้อม ระบุว่า ยิ่งคิดว่า เราจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้

จากที่เคยทะเลาะกับนักข่าว งอนสื่อ ออกอาการหมางเมิน เมื่อรับหน้าที่ปรองดองนี้ พล.อ.ประวิตร ก็ต้องหันมาคืนดีกับนักข่าว กลับมาพูดคุยและให้สัมภาษณ์เหมือนเดิม เพื่อขอความร่วมมือสื่อสนับสนุนการปรองดอง

“ผมสู้กับนักข่าวมาเป็นปีนะ สัมภาษณ์ผมทุกวัน ทำไมไม่ไปสัมภาษณ์คนอื่นบ้าง พอพูดทุกวัน ก็ต้องมีพลาดบ้าง พอพลาด นักข่าวไม่ช่วย มีแต่รุม แต่ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”

นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บิ๊กป้อม เผยว่า บางครั้งก็ต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ทั้งไหว้พระ สวดมนต์ บนบานศาลกล่าว อยากให้สำเร็จ

แม้แต่การเดินสายทำบุญ ไหว้พระ และห้อยพระ หรือใส่หินสีกำไลข้อมือขวา จากวัดเขี้ยวแก้ว ที่สิงคโปร์ และ หวังต้าเซียน จากฮ่องกง ก็เพื่อความโชคดีและป้องกันสิ่งไม่ดี และเพื่อให้ทุกอย่างปลอดโปร่ง

“ตอนนี้ ผมปรองดองหมด แม้แต่ในกองทัพ” บิ๊กป้อม เปรย

ด้วยเพราะในงานวันกองทัพบกที่ผ่านมา เขาได้พบหน้า บิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ. รุ่นพี่ ตท.5 ที่ในอดีต “ทักษิณ” เคยเด้งญาติผู้พี่คนนี้จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.สส. ทั้งๆ ที่ควรจะนั่งเป็น ผบ.ทบ. 2 ปี จนเกษียณ แต่ก็เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.

“ความจริง ผมกับพี่ตุ้ย ไม่ได้มีอะไรกันนะ เจอหน้ากันก็สวัสดีทักทาย ไม่มีอะไรแล้ว” บิ๊กป้อม เล่า

หรือกับบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และประธาน คมช. ที่ พล.อ.ประวิตร ในยุคนั้น ไม่ได้สนับสนุนเพื่อนคนนี้เป็น ผบ.ทบ. แต่สนับสนุนเพื่อนคนอื่น ที่อาจทำให้งอนๆ กันบ้าง

“ไม่มี ไม่ได้ขัดแย้ง ก็เป็นเพื่อน ตท.6 ด้วยกัน” บิ๊กป้อม ยืนยัน

แต่ทว่า นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณปรองดอง พร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้เป็น “ป้อม ปรองดอง” อีกด้วย

ทั้ง ปรองดองกับนักการเมือง ปรองดองกับสื่อ และปรองดองกันเองในกองทัพ ในหมู่ทหารด้วยกัน…