อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ชีวิตาในโลกใหม่ (11) เทศะแห่งอาณานิคมและกาละของผู้ปกครอง

โลกภายในอารามนั้นมีลักษณะที่ว่างและความเป็นอยู่แบบเฉพาะเจาะจง มีกาละและเทศะเป็นของตนเอง

กำแพงอันสูงชันและโดดเดี่ยวหนาหนักทำให้พื้นที่ของอารามถูกจำลองดังดินแดนของสวรรค์บนพื้นพิภพ

การศึกษาอารามของนิกายเบเนดิกต์-Benedictine ที่ปรากฏในงานเขียนชิ้นสำคัญของ จอร์จ ดูดี้-Georges Dudy นักประวัติศาสตร์ยุคกลางชาว…พบว่าประตูทางเข้าของอารามนั้นมีเพียงประตูเดียวและเปิดปิดเป็นเวลา

หลังจากปิดประตู ทุกคนในอารามจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ในสภาวะเช่นนั้นทำให้บุคคลในอารามตกอยู่ในสภาพของครอบครัวเดียวกัน

และครอบครัวที่ว่านี้อาจเป็นครอบครัวที่สมจริงกว่าครอบครัวตามสายเลือดด้วยซ้ำ

เพราะนักบวชทั้งหลายภายในนั้นเกื้อหนุน โอบอุ้มดูแลและไม่ทอดทิ้งกัน

รูปแบบของอารามดังกล่าวหาได้เกิดขึ้นมาเนิ่นนาน หากแต่ถูกพัฒนาตามแนวคิดของนักบุญเบเนดิกต์ในศตวรรษที่ห้า และเมื่อถึงศตวรรษที่เก้า การจัดระเบียบ การวางผัง การจัดองค์กรของอารามก็เป็นระบบที่ชัดเจน

และกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาง

ในเอกสารจำนวนห้าแผ่นที่แสดงการวางผังของอารามเซนต์ กัล-Saint Gall ที่…ซึ่งถูกส่งโดยท่านบิชอปแห่งบาเซลไปยังกอซแบรต์ผู้เป็นเจ้าอาวาสอารามแห่งนี้

เอกสารที่ว่าแสดงให้เห็นถึงการคำนวณตำแหน่งแกนกลางของจักรวาล การใช้ระบบคณิตศาสตร์เป็นมาตราวัดสัดส่วน

การจงใจให้ตัวโบสถ์เป็นดังศูนย์กลางของอาราม และจัดวางอาคารอื่นล้อมรอบ ทิศทางการจัดวางเป็นดังนี้ ที่พักของพวกนักบวชจะถูกจัดวางไว้ทางทิศใต้ของโบสถ์

ลักษณะของที่พักจะไม่ต่างจากวิลล่าในชุมชน คือมีลานโล่งตรงกลาง ด้านหนึ่งเป็นที่เก็บไวน์ เสบียงอาหาร ครัว ที่ทำขนมปัง

ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นโรงอาหาร เป็นที่ประชุมสำหรับการสวดมนต์และการเก็บเครื่องนุ่งห่ม

ทิศเหนือของโบสถ์เป็นที่พักของเจ้าอาวาส ซึ่งมีห้องอาบน้ำส่วนตัว ครัวส่วนตัว รวมถึงที่เก็บไวน์ด้วย

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่พักของพวกพระและเณรที่เจ็บไข้ได้ป่วย และจะถูกกันให้ไม่ยุ่งขิงกับคนภายนอกเพื่อกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค

ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ใกล้กับประตูอารามจะมีอาคารสองหลัง หลังแรกติดกับอาคารของเจ้าอาวาสใช้สำหรับต้อนรับพระหรือนักบวชจากต่างถิ่น

อีกหลังที่ค่อนมาติดกับที่พักของเหล่านักบวชนั้นใช้รับรองผู้เดินทางจากริกแสวงบุญและคนจนที่ไร้ที่อยู่อาศัย

ลักษณะการวางผังที่ว่านี้แสดงถึงลำดับในการใกล้ชิดกับพระเจ้านั่นเอง ตัวโบสถ์นั่นถือว่าเป็นที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น ซ้ายมือทางด้านเหนือที่อยู่ของเจ้าอาวาสจึงเป็นดังตำแหน่งของอัครสาวก

ถัดต่ำลงมาที่เป็นที่พักของเหล่านักบวชแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของบุตร หรือผู้สืบทอดความเชื่อและพระวจนะ

สุสานจะอยู่ทางด้านทิศตะวันออก อันเป็นทิศที่พระอาทิตย์ปรากฏตัวขึ้นอันแสดงถึงการกลับไปเกิดใหม่ในดินแดนของพระเจ้า

ส่วนทิศตะวันตกอันเป็นทิศที่ผู้แสวงบุญและเหล่าคนจนพักอาศัยแสดงให้เห็นถึงการข้องแวะกับเรื่องราวทางโลกและรอวันถูกพิพากษาเมื่อตาย

 

ดังได้กล่าวแล้วว่าผังอารามเช่นนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายนับแต่ศตวรรษที่เก้า เพียงแต่ว่าขนาดของอารามนั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชนเมือง

ในอารามคอร์บี้-Corbie ที่…มีจำนวนนักบวชหนึ่งร้อยห้าสิบคน มีคนงานทำงานให้อารามในจำนวนไม่ต่างกัน และมีอาคันตุกะมาพำนักถึงสามร้อยคนต่อวัน

จำนวนที่ว่าเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน เมื่อพ้นยุคกลาง การทำกสิกรรมเพื่อเลี้ยงดูอารามซึ่งแต่ก่อนเคยอยู่ในพื้นที่อารามถูกถ่ายเทออกไปนอกกำแพงและทำให้จำนวนประชากรในอารามลดลง การจัดการเช่นว่านี้ปรากฏในอารามที่โลกใหม่ ดินแดนละตินอเมริกาด้วยเช่นกัน

ภายใต้การจัดตั้งกระบวนการเผยแผ่ศาสนาและการทำงานร่วมกับชุมชน อารามในโลกใหม่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้น

ที่พักของเจ้าอาวาสถูกตัดออก ผู้เป็นเจ้าอาวาสจะนอนในอาคารเดียวกับบรรดานักบวชคนอื่นเพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การถูกโจมตีจากชนพื้นเมืองหรือเกิดอาการเจ็บป่วยจากโรคแปลกประหลาดในโลกใหม่ซึ่งมีอยู่นานาชนิด การช่วยเหลือดูแลจะกระทำได้เต็มที่และทันด่วนกว่า

นอกจากนี้ การไม่แยกตัวออกไปแบบโดดเดี่ยวทำให้วิถีแห่งการภาวนาร่วมกันเกิดขึ้นได้ง่าย ไม่มีพิธีรีตอง

กระนั้น การแสดงฐานานุศักดิ์ของผู้เป็นเจ้าอาวาสก็ถูกกระทำผ่านสัญลักษณ์อื่น อาทิ ในที่ภาวนาของผู้เป็นเจ้าอาวาสจะมีเทียนสองเล่มส่องสว่างอยู่เสมอ

เมื่อเขาเดินผ่าน บรรดานักบวชจะค้อมหัวแสดงความเคารพ เมื่อเขาต้องออกไปกระทำกิจสำคัญยามค่ำ จะมีนักบวชถือเทียนนำหน้าเขาตลอดทาง

เมื่อกลับมาที่อาราม นักบวชจะตั้งแถวต้อนรับและเจ้าอาวาสจะจูบแก้มนักบวชทุกคนแสดงการกลับมา

เมื่อถึงเวลาอาหาร ไวน์ และอาหารของเขาจะถูกจัดเป็นชุดพิเศษแยกออกมา

สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงฐานะของเขาที่สูงกว่านักบวชทั่วไป

ในการปกครองอาราม เจ้าอาวาส (ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม) จะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเรียกว่า เซญอเร่ส์-Seniores

คณะกรรมการที่ว่านี้มักประกอบไปด้วยนักบวชที่มีอายุมากและจำทำหน้าที่ตัดสินปัญหาสำคัญในกรณีที่เจ้าอาวาสไม่ได้อยู่ในอาราม

ถัดลงมาจากคณะกรรมการจะมีหัวหน้าแผนกสำคัญสี่แผนกในอาราม แผนกแรกนั้นเป็นแผนกรักษาความเรียบร้อยในอาราม

ผู้ดูแลแผนกต้องคอยเปิดปิดประตูอาราม คอยดูแลอุปกรณ์ในการภาวนาและสวดมนต์ให้เรียบร้อยและครบถ้วน

แผนกต่อมาคือแผนกแม่บ้านที่ดูแลสิ่งของทุกชิ้นในอารามรวมถึงเงินทองที่ต้องใช้จับจ่ายในอารามด้วย เมื่ออารามมีการทำไร่และการกสิกรรมเพิ่มขึ้นในภายหลัง ค่าเช่าที่และรายได้ถูกส่งผ่านเข้ามาในแผนกนี้

แผนกแม่บ้านยังมีหน้าที่คอยจัดหาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเหล่านักบวชในฤดูหนาวเพื่อทดแทนเสื้อผ้าเก่าที่ขาดวิ่นและชำรุด จัดหาเครื่องนอน จัดหาเกือกม้าให้ม้าของอาราม ดูแลให้หน้าต่างสว่างไสวไม่มัวหมอง

แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ดูแลเรื่องการทำเสบียงอาหารให้เพียงพอ ดูแลเรื่องการผลิตไวน์ การจัดหาเครื่องดื่ม ห้องเก็บไวน์และอาหารจะมีการจุดไฟอยู่ตลอดเวลาเพื่อไล่พวกสัตว์ร้ายและขโมย แผนกสุดท้ายเป็นแผนกที่ติดต่อกับโลกภายนอก คอยดูแลแบ่งปันอาหารที่มีมากเกินไปให้กับชุมชน คอยออกเยี่ยมเหล่าสัตบุรุษที่เจ็บป่วยและไม่อาจมาประกอบศาสนกิจยังอารามได้

(หากเป็นนักบวชชาย การเยี่ยมสตรีเพศจะเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยที่ไม่ใช่นักบวช และหากเป็นนักบวชหญิง การเยี่ยมบุรุษเพศก็จะใช้ผู้ช่วยเช่นกัน)

 

สําหรับการเข้าพักในอาราม ในกรณีของสัตบุรุษทั่วไปที่แสวงบุญและขอพำนักในอารามเป็นการชั่วคราวจะต้องรับเอาวิถีของอารามมาปฏิบัติด้วย

สามีและภรรยาแม้จะเดินทางด้วยกัน แต่เมื่อย่างเท้าเข้าไปในอารามจะต้องแยกห้องกันนอน

หญิงโสดหรือหญิงม่ายที่ปรารถนาการออกบวชในอารามจะถูกกันออกไปพำนักในสถานที่พักเฉพาะเพื่อเฝ้าดูความมั่นคงในศรัทธา

และเมื่อความศรัทธาได้รับการยอมรับ พิธีกรรมสำหรับการบวชขึ้นเป็นนักบวชจะถูกจัดทำขึ้นในเวลาต่อมา

มีพิธีกรรมมากมายในอาราม ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ทั้งพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมทางจิต และพิธีกรรมในชีวิตประจำวันซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมทางกาย พิธีกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตายของนักบวชในอารามซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ไม่แตกต่างจากงานรื่นเริงเช่นงานแต่งงานของบุคคลทั่วไปเลย

เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่านักบวชท่านใดไม่อาจฟื้นคืนจากความเจ็บป่วยและกำลังเดินหน้าไปสู่ความตายแล้ว เขาจะถูกนักบวชจำนวนสองคนแบกออกจากส่วนดูแลผู้ป่วยในอารามไปยังโถงห้องประชุมใหญ่เพื่อสารภาพบาปเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากนั้นเขาจะถูกแบกกลับไปยังเตียงที่เขานอนป่วยอยู่ นักบวชทุกคนในอารามจะไปห้อมล้อมเขาที่นั่น ไม้กางเขนจะถูกยื่นให้เขาจูบเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากนั้นนักบวชทุกคนเริ่มจากเจ้าอาวาสจะเข้าไปจูบลาเขา

เมื่ออาการผู้ป่วยเข้าขั้นตรีทูตหรือวิกฤต ไม้กางเขนและเทียนจะถูกจัดวางไว้ที่ปลายเตียง ระหว่างนั้นนักบวชรอบเตียงจะอ่านถ้อยความในพระคัมภีร์ให้ผู้ป่วยฟังเป็นที่ยึดเหนี่ยว

เมื่อผู้ป่วยสิ้นใจ ร่างของเขาจะถูกชำระล้างจากนักบวชด้วยกันนับแต่ผู้เป็นเจ้าอาวาสลงมาจนสะอาดหมดจด

ก่อนจะแบกร่างของเขาไปยังหลุมศพที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

ระหว่างทางไปสู่หลุมศพ เสียงเพลงสวดจะถูกขับกล่อมตลอดทาง

และเมื่อครบรอบหนึ่งปีแห่งการจากไป จะมีการปรุงอาหารมื้อพิเศษสำหรับผู้ตายออกแจกจ่ายให้นักบวชทุกคนได้ทาน

อาหารมือนี้ห้ามบุคคลภายนอกทาน แต่เมื่ออาหารเหลือจากมื้อจะถูกนำไปมอบให้กับผู้ยากไร้นอกอาราม ถือว่าเป็นการแบ่งปันกันระหว่างผู้ตายและนักบวชที่เป็นดังพี่น้องและผู้คน

ชีวิตของนักบวชนั้นแม้จะมีความเงียบหากแต่ไม่ใช่ชีวิตที่โดดเดี่ยว การแบ่งปันและการมีส่วนร่วมซึ่งกันและกันคือหัวใจของการใช้ชีวิตในอารามในอดีต

ความโดดเดี่ยวหรือการถูกแยกให้อยู่เพียงลำพังจะเกิดขึ้นในฐานะของการลงโทษ