ยานยนต์ สุดสัปดาห์/ สันติ จิรพรพนิต/มินิ ‘Cooper S 3 ประตู’ ในเมืองขับง่าย-ทางไกลก็สนุก

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/ สันติ จิรพรพนิต [email protected]

มินิ ‘Cooper S 3 ประตู’

ในเมืองขับง่าย-ทางไกลก็สนุก

 

“รอคอยเธอมาแสนนาน…บลาๆๆๆๆๆ”

ถึงกับฮัมเพลง “แต่ปางก่อน” กันเลยทีเดียว ในทันทีที่ผมได้รับแจ้งว่าจะได้รับรถยนต์ “มินิ” มาทดสอบ

นั่นเป็นเพราะครั้งสุดท้ายที่ขับรถแบรนด์นี้ล่วงเลยมานานมาก (ก.ล้านตัว) จนจำไม่ได้แล้วว่ารุ่นสุดท้ายที่ขับคือรุ่นไหน และขับเมื่อไหร่

จึงเมื่อจะได้รถมาทดสอบรอบนี้จึงค่อนข้างตื่นเต้นพอสมควร

รุ่นที่ได้มาเป็น “MINI Cooper S Hatch 3 ประตู”

เจเนอเรชั่นนี้เป็นรุ่นปรับโฉม ที่ค่ายนี้เรียกชื่อเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองว่า “LCI” (Life Cycle Impulse)

โดยเปลี่ยนกับรถทั้ง 3 รุ่น คือ MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible (เปิดประทุน)

“MINI Cooper S Hatch 3 ประตู” เป็นรุ่นที่แยกย่อยลงไปอีกของ MINI Hatch 3 ประตู

 

มาดูรูปลักษณ์ภายนอกกันก่อน ปรับเปลี่ยนลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ อยู่พอสมควร เริ่มจากกระจังหน้าแม้ทรงจะคล้ายเดิมแต่เพิ่มลูกเล่นที่เส้นขอบเป็นสีดำมันแบบเปียโนแบล็ก ซึ่งจะปรากฏอยู่หลายจุดนอกเหนือไปจากเส้นขอบกระจังหน้าคือบริเวณเส้นรอบวงไฟหน้า มือเปิด-ปิดประตู และที่เปิดประตูด้านหลัง

ไฟหน้า LED พร้อมฟังก์ชั่นไฟ Matrix มีระบบปรับลำแสงอัตโนมัติเพื่อไม่ให้รบกวนรถที่แล่นสวนทางมา

มีไฟวงแหวนขนาดใหญ่เป็นไฟ Daytime Running Light และเป็นไฟเลี้ยวไปในตัวด้วย เรียกว่าไม่ว่าเปิดเป็นไฟวิ่งกลางวัน หรือเปิดไฟเลี้ยวเป็นจุดเด่นที่เห็นชัด และมองไกลๆ ก็รู้เลยว่านี่คือ “มินิ”

อีกจุดที่เปลี่ยนไปคือ “โลโก้” ดูเรียบหรูมากขึ้น

ด้านท้ายเด่นที่สุดไม่พ้นไฟท้าย LED ใหม่รูปธง “Union Jack” เรียกว่าจะมองข้างหน้า-ข้างหลัง พอเห็นไฟแล้วรู้ทันทีว่าเป็นรถยี่ห้ออะไร

ต่ำลงมาเป็นท่อไอเสียคู่ที่วางชิดกันอยู่ตรงกลาง

ล้อแมกซ์ขนาด 17 นิ้ว สีทูโทน เต็มซุ้มพอดีๆ ใส่ยางขนาด 205/45 แก้มยางดูบางมากๆ ให้อารมณ์สปอร์ตเข้าไปอีก

ภายในใช้สีโทนดำ แน่นอนว่าเอกลักษณ์ไม่พ้นรูปทรงกลม ที่มองเห็นอยู่แทบทุกจุด แม้แต่ที่เปิดประตูด้านในและช่องแอร์ ตกแต่งด้วยสีดำเงาเปียโนแบล็กตัดกับสีเงินในบางจุด

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น เรือนไมล์ทรงกลมตรงกลางบอกความเร็ว จอทรงครึ่งวงกลมด้านซ้ายเป็นความเร็วรอบเครื่องยนต์ และครึ่งวงกลมด้านขวาเป็นเกจ์วัดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบดิจิตอล

 

ขยับมาตรงกลางเป็นหน้าจอสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว เชื่อมต่อด้วย MINI Connected และแสดงภาพจากกล้องมองหลัง

ขอบหน้าจอตรงกลางมีไฟ Ambient Light เป็นวงแหวนสีที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ

ส่วนเวลาเข้าเกียร์ถอยไฟวงแหวนนี้จะปรับเป็นสีเขียว เหลือง และแดง เพื่อเตือนผู้ขับขี่กรณีเริ่มเข้าใกล้สิ่งกีดขวางเข้าไปเรื่อยๆ

ต่ำลงมาเป็นปุ่มปรับแอร์แบบอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา

ลงมาอีกนิดเป็นปุ่มเรียงกันเป็นพืด ตรงกลางเด่นด้วยสีแดงเป็นปุ่มสตาร์ต-สต๊อป ส่วนอื่นๆ เป็นปุ่มที่เปิด-ปิดตัวช่วยต่างๆ

ขยับมาบริเวณคอนโซลกลางเป็นคันเกียร์ขนาดเล็ก ด้านบนเป็นปุ่ม “P” เวลาจอดต้องกด ที่เหลือก็หมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไป ลากลงต่ำสุดเป็นเกียร์เดินหน้า “D” แต่ถ้าปัดไปด้านซ้ายจะกลายเป็นแมน่วลขยับขึ้น-ลงเพื่อเพิ่ม-ลดเกียร์

ต่ำลงมาอีกหน่อยเป็นปุ่มคอนโทรลเลอร์

มีช่องเสียบที่ชาร์จไฟ และช่องเสียบ USB

เบาะนั่งหนังสบายทีเดียว มีปีกเบาะโอบกระชับลำตัวได้ดี ติอยู่นิดที่ยังเป็นแบบปรับด้วย “อัตโนมือ”

ส่วนเบาะนั่งด้านหลังพื้นที่กะทัดรัด ถ้าไปไม่ไกลมากก็พอไหวอยู่

 

ได้เวลาเดินทาง ทริปนี้ผมมีจุดหมายอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี ถือเป็นครั้งแรกที่ไปจังหวัดนี้

ออกเดินทางตอนสายๆ ใช้เส้นวิภาวดีรังสิต ผ่านพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ฯลฯ

ตัวรถสีส้มใหม่ “Solaris Orange” ดูเด่นมากทีเดียว

หลังจากปลดล็อกที่ปุ่มมือจับ หรือจะเปิดที่รีโมต มีแสงไฟโลโก้ “มินิ” ส่องลงที่พื้นด้านคนขับ ดูเท่และปลอดภัยมากขึ้นในยามค่ำคืน

กระจกรถแบบไร้ขอบจะลดลงมานิดหนึ่งเวลาเปิด-ปิดประตู เพื่อลดความดันภายใน

พอเข้าไปนั่งจริงๆ ภายในไม่เล็กขนาดนั้น เรียกว่ากระชับกำลังดี

กดปุ่มติดเครื่องยนต์ บริเวณคอนโซลหน้าคนขับมีแผ่นใสเลื่อนขึ้นมาแสดงตัวเลขบอกความเร็วรถ และความเร็วระบบครุยส์คอนโทรล เพื่อที่ไม่ต้องชำเลืองตาลงไปมองที่เรือนไมล์

การขับขี่ในเมืองหายห่วงครับ เพราะตัวรถที่ค่อนข้างสั้น แซงซ้าย ป่ายขวาได้ฉับไว

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทวินเพาเวอร์เทอร์โบ 1,998 ซีซี 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ 7 สปีด ซึ่งเป็นครั้งแรกของตระกูลมินิ

อัตราเร่งมาทันใจดีเหลือเกินในทุกย่านความเร็ว ยิ่งตีนต้นเวลากดแบบสุดตอนออกจากไฟแดงเป็นคันแรก เสียงจากท่อไอเสียวี้ดเข้ามาในห้องโดยสารได้อารมณ์ “ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส” มากๆ

การเร่งแซงหายห่วง กดเป็นมา เช่นเดียวกับความเร็วปลายตามสเป๊กอยู่ที่ 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ในทริปนี้มีจังหวะที่ออกจากไฟแดงคันแรกตอนเป็นถนนยาวโล่งๆ ช่วงเลยพระนครศรีอยุธยาไปแล้ว เลยจัดหนักเข็มไมล์พุ่งวาบทะลุ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง

มาในเวลาที่สั้นมาก และมีที่เหลือให้เท้าย่ำลงไปอีก แต่ผมว่าแค่นี้ก็น่าจะพอรับรู้ถึงสมรรถนะได้แล้ว เลยพอดีกว่า

 

เสียงเครื่องยนต์เล็ดลอดเข้ามาไม่มากนัก

ส่วนความนุ่มนวลผมถือว่าทำได้ดี แม้ยางจะใช้แก้มต่ำจนตอนแรกระแวงว่าจะเด้งดึ๋งๆ หรือเปล่า

แต่ที่ไหนได้ นิ่มกว่าที่คิด แถมหน้ายางที่กว้างบวกกับช่วงล่างที่เซ็ตมาได้แน่นตึ้บ จะเข้าโค้งหนักๆ กระชากเปลี่ยนเลนแรงๆ ควบคุมได้ไม่มีหวาดเสียว

พวงมาลัยเฉียบคม เบาแรงเวลาจอดและมั่นคงในย่านความเร็วสูง

ระบบควบคุมความเร็วหรือครุยส์คอนโทรลที่ผมใช้เยอะพอสมควร ทำงานง่ายแค่ปลายนิ้ว

ด้วยทริปนี้เข้าไปในเมืองอุทัยธานี ถนนหนทางไม่ได้กว้างมาก ทำให้เห็นข้อดีของรถขนาดเล็ก เพราะคล่องตัวสุดๆ รวมถึงอัตราเร่งที่มาเร็วและแรง ทำให้เวลาแซงตอนเข้าถนนแบบ 2 เลนสวน วางใจได้มากขึ้น

ส่วนระบบความปลอดภัยมาครบตามมาตรฐานรถยุโรป

“MINI Cooper S Hatch 3 ประตู” ถือว่าป็นรถเล็กที่ขับสนุก ซอกแซกได้สบาย บวกกับความแรงของเครื่องยนต์ที่มีมาให้เหลือๆ จะเข้าซอกเล็กซอยน้อย หรือวิ่งยาวๆ บนถนนใหญ่ ขับได้ไม่มีเครียด

จัดไปกับราคา 2,740,000 บาท