ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มกราคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
คาดไว้ได้เลยค่ะว่าหนังต้อนรับปีใหม่เรื่องเยี่ยมเรื่องนี้จะต้องได้รับรางวัลอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายในไม่ช้าไม่นานช่วงต้นปีนี้ และรางวัลที่มาแล้วและจะมาไม่ใช่เรื่องส้มหล่นเลย แต่เป็นเพราะฝีมือแท้ๆ ของผู้กำกับฯ ซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่องด้วย
La La Land เป็นหนังเรื่องที่สามที่ดารานำคู่นี้เล่นเป็นแฟนกัน ซึ่งแปลว่าทั้งสองมี “เคมี” เข้ากันได้ดี และเป็นหนังเรื่องที่สองของผู้กำกับฯ เดเมียน ชาแซลล์ ซึ่งมีผลงานเรื่องแรกคือ Whiplash เป็นที่ฮือฮากล่าวขวัญถึงอย่างมาก
Whiplash เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มนักกลองดนตรีแจ๊ซที่โดนขับเคี่ยวโดยครูและผู้คุมวงจอมโหดที่เล่นโดย เจ.เค.ซิมมอนส์ จนได้ครองรางวัลมากมายไปจากบทบาทอันตราตรึงนี้
จนชาแซลล์อดไม่ได้ที่จะเอาเขามาเล่นในบทเล็กนิดเดียวให้โผล่หน้ามาแค่สองฉากใน La La Land
ความหลงใหลในดนตรีแจ๊ซปรากฏชัดอีกครั้งใน La La Land ซึ่งมีนักเปียโนแจ๊ซเป็นตัวหลักอีกนั่นแหละ แต่คราวนี้หนังมาในรูปของมิวสิเคิลที่สดใสและสดสวย ซึ่งวางโครงเรื่อง วางตัวละคร และวางองค์ประกอบได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวมากๆ
ฉากหลังคือลอสแองเจลิสหรือแอลเอ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหนังทางหนึ่ง แต่ลาลาแลนด์ยังบอกความหมายหลั่นล้า หรือล่องลอยอยู่เหนือโลกของความจริงอีกด้วย
ฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปถูกกำหนดเป็นตัวเดินเรื่องตัวหนึ่ง จากฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง จนถึงฤดูหนาวอีกห้าปีต่อมา
หนังเปิดเรื่องบนไฮเวย์ที่การจราจรรจอดนิ่งเรียงรายเหมือนที่จอดรถบนทางด่วน และเปิดด้วยฉากแบบมิวสิเคิล ที่มีผู้คนร้องเพลงและออกมาเต้นรำบนหลังคารถที่จอดนิ่งยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
นางเอกซึ่งกำลังท่องบทเพื่อไปคัดเลือกตัวเล่นหนัง โดนพระเอกขับรถแซงไป เลยชูนิ้วกลางด่าเข้าให้
นี่ไม่ใช่ความรักแรกพบเลย แต่กว่านางเอกกับพระเอกในมิวสิเคิลเรื่องนี้จะรักกันได้ก็ต้องเจอกันเข้าโดยบังเอิญอยู่หลายหน จนได้รู้จักมักคุ้นกันในฐานะของผู้คนที่ไขว่คว้าหาความสำเร็จในโลกมายา
เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) เป็นนักเปียโนที่หลงใหลดนตรีแจ๊ซจนต้องการเปิดคลับแบบที่นักดนตรีแจ๊ซมาโชว์ฝีมือกันเต็มที่
ส่วนมีอา (เอ็มมา สโตน) เป็นเด็กสาวที่ทิ้งการเรียนในมหาวิทยาลัยมาเพื่อติดตามความใฝ่ฝันอยากเป็นดารา ขณะที่ยังต้องทำงานเป็นบาริสต้าชงกาแฟในร้านใกล้โรงถ่าย เพื่อจะถอดผ้ากันเปื้อนไปทดสอบบทได้สะดวกเมื่อไรก็ตามที่ได้รับการเรียกตัว
นี่ไม่ใช่มิวสิเคิลประเภทเพลงต่อเพลงโดยไม่มีบทสนทนา แต่เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวที่สร้างความสัมพันธ์กันในดินแดนแห่งนี้ พร้อมกับไขว่คว้าหาทางไปสู่ดวงดาวในแบบของตัวเอง และมีเพลงแทรกอยู่เป็นระยะๆ เมื่อมีช่วงเปิดให้ร้องและเต้น
ยุคสมัยในเรื่องคือปัจจุบัน (มีมือถือใช้กันแล้ว) แต่อารมณ์บรรยากาศอยู่ราวครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
พระเอกขอเดตกับนางเอกหนแรก โดยการชวนไปดูหนังเรื่อง Rebel Without a Cause ซึ่ง เจมส์ ดีน เล่นคู่กับ นาตาลี วู้ด สมัยนี้ก็กลายเป็นหนังคลาสสิคไปแล้ว และเป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบที่สังคมกำหนด
แต่ในความเป็นจริงของเมืองมายาอย่างฮอลลีวู้ด ก็ไม่แปลกที่มีการนำหนังคลาสสิคกลับมาฉายใหม่ในโรง และอีกมิติหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ความที่ม้วนฟิลม์เก่าหลายสิบปี ระหว่างที่พระเอกกับนางเอกนั่งดูหนังอยู่ด้วยกันในโรง หนังก็เลยขาดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อพอดีเป๊ะ
ที่จะต้องชมเป็นพิเศษอีกเรื่องคือ “จังหวะ” ที่ลงตัวเหมาะเจาะทุกครั้ง ยกตัวอย่างอีกตอนก็คือ ช่วงที่เซบาสเตียนไปตามมีอาให้ไปทดสอบบท ขณะที่มีอาอยู่ในช่วงถอดใจกับวงการหลั่นล้านี้แล้ว เขาทิ้งให้เธอตัดสินใจหนึ่งคืน บอกว่าให้เวลาถึงแปดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเขาจะขับรถมารับ เราเห็นรถเขามาจอดคอยตอนก่อนแปดโมง เขาคอยเหลือบตาดูนาฬิกาอยู่ พอถึงเวลาที่กำหนด ก็ถอนหายใจอย่างโกรธๆ กระชากรถขับออกไปโดยไม่รีรอลังเล…เพียงเส้นยาแดงผ่าแปดที่มีอาถือถ้วยกาแฟกะเร้อกะรังวิ่งตามไปขึ้นรถ…เกือบไม่ทันการซะแล้ว
นอกจากนั้น รอยต่อระหว่างความเป็นจริงกับความฝันในหลายๆ ฉาก ก็เชื่อมต่อกันอย่างสวยงามพอดิบพอดี
และนี่คือสารสำคัญของหนัง-เรื่องราวของความฝันและความเป็นจริง
หนุ่มสาวทั้งสองมีความฝันที่ตัวเองตามไขว่คว้า แต่ความฝันของแต่ละคนก็พาชีวิตแยกกันไปคนละทาง เมื่อถึงทางแยก ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเดินทางไหน
หนังจบลงอย่างสวยงามมากค่ะ คนเราไม่เคยได้ทุกอย่างสมปรารถนา แต่ต่างคนต่างก็มีชีวิตที่ดีได้
และฉากสุดท้ายช่วยให้คนดูสมปรารถนาด้วยการเสนอภาพทางเลือกที่อาจเป็นไปได้ในจักรวาลคู่ขนาน แต่ว่าพระเอกนางเอกต่างก็เลือกทางเดินของตนที่มีความสวยงามในแบบของมันเองไว้แล้ว
บทบาทของดาราคู่ขวัญในหนัง–ไรอัน กอสลิง กับ เอ็มมา สโตน-เหมาะเจาะกันอย่างที่สุด
เอ็มมาสวยสว่างสดใสที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย การแต่งหน้าและการเต้นรำที่พลิ้วอ่อนและแข็งแรง มีฉากการเต้นแท็ปที่น่ารักมากตามแบบ เฟร็ด แอสแตร์ จีน เคลลี่ และ จินเจอร์ โรเจอร์ส
ส่วนไรอันก็สวมวิญญาณของนักเปียโนและคีย์บอร์ดผู้หลงใหลแจ๊ซอย่างเต็มตัว ที่น่าประทับใจมากคือความทุ่มเทตนซึ่งต้องปรบมือให้
ข่าวบอกว่าเขาฝึกซ้อมเปียโนวันละสองชั่วโมงทุกวัน สัปดาห์ละหกวัน จนเล่นเพลงทุกเพลงในฉากด้วยตัวเองทั้งหมด แม้ว่าผู้กำกับฯ จะเตรียมอัดเพลงจากฝีมือคนอื่นไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดแล้ว
ตอนสุดท้ายเรื่องราวหวนกลับมาสู่ฤดูหนาวอีกครั้งในห้าปีต่อมา นอกจากกาลเวลาที่เวียนเป็นวงกลมมาที่เดิมตามฤดูกาลแล้ว สถานที่ก็ยังพาตัวละครวนกลับมาซ้ำบริเวณรถติดยาวเหยียดแบบเดิม
สำหรับหนังเรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ เพราะดูแล้วชื่นใจและให้ความสุข…
ไม่ใช่แบบหวานแหววชวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เท่านั้น
แต่ให้ความหมายของชีวิตที่มาพร้อมกับวุฒิภาวะ…
ไม่ได้แค่หลั่นล้าล่องลอยเพ้อฝันไปตามชื่อเรื่องเลยเชียว..
LA LA LAND
กำกับการแสดง
Damien Chazelleนำแสดง
Ryan Gosling
Emma Stone
J. K. Simmons