อนุสรณ์ ติปยานนท์ : สายสัมพันธ์กลางหมอก

ในความทรงจำของนายหมอกสีเทา เขาระลึกได้ถึงสารคดีที่เกี่ยวข้องกับเมืองเมืองหนึ่งในประเทศจีน เขาจำชื่อเมืองนั้นไม่ได้

สารคดีที่ว่าถูกฉายตั้งแต่เขาเข้าทำงานที่โรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษใหม่

ภาพในสารคดีเป็นภาพของผู้คนในเมืองที่เต็มไปด้วย ฝุ่น หมอก และควัน ไม่มีใครรอดพ้นจากการใส่หน้ากากมลพิษ

บทสัมภาษณ์ผู้คนบนท้องถนนเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า “คุณเห็นท้องฟ้าครั้งสุดท้ายเมื่อใด?” “คุณหายใจอย่างบริสุทธิ์เมื่อใด?”

คำตอบที่ได้รับช่างเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“เนิ่นนานมาแล้วสำหรับการเห็นท้องฟ้าอย่างกระจ่างตา”

“เนิ่นนานมาแล้วที่สามารถหายใจได้อย่างปลอดโปร่งโดยปราศจากหน้ากากป้องกันกั้นกลาง”

ผู้คนในเมืองรู้สึกถึงความย่ำแย่ เลวร้าย แต่พวกเขายังคงอยู่ที่นั่น ยังคงอยู่ในเมืองนั้นต่อไป พวกเขายังพยายามดำรงชีวิต ดิ้นรนที่จะมีชีวิต ในเมืองอันเต็มไปด้วยหมอกควัน

นายหมอกสีเทาชมสารคดีเรื่องนั้นจนจบ เขาหวังว่าผู้สัมภาษณ์หรือผู้จัดทำสารคดีจะถามคำถามที่เขาปรารถนาจะรู้

เพราะเหตุใดผู้คนทั้งหลายจึงยังคงอยู่ในเมืองแห่งนั้น

เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดหลบหนี อพยพ หรือละทิ้งพื้นที่หรือดินแดนอันโหดร้ายย่ำแย่นั้นไป

มีสาเหตุอันใดที่ยังผูกพัน ยึดเหนี่ยวพวกเขาให้คงอยู่ในที่แห่งนั้น มนุษย์อาจไม่ใช่นกที่สามารถโบยบิน หลีกลี้อันตรายได้อย่างเสรี

แต่มนุษย์ก็หาใช่ก้อนหินที่ไม่อาจขยับตนเองได้ มนุษย์มีเจตจำนง อาจเป็นเจตจำนงเสรีด้วยซ้ำไปที่จะออกจากพื้นที่ใดก็ตามที่รู้สึกว่าอันตราย ผู้คนในเมืองนั้นมีเหตุผลใดซ่อนอยู่

พวกเขาจึงไม่อาจละทิ้งเมืองนั้นไปได้

 

ปริศนาที่ว่านั้นครอบงำนายหมอกสีเทาอยู่เนิ่นนาน

เขาขบคิดถึงมันบ่อยครั้งในช่วงแรก ในเมืองที่เขาอยู่แม้ว่าอากาศจะเลวร้ายลงทุกขณะ แต่เขาเองก็เชื่อมั่นว่ามันไม่เลวร้ายดังเมืองในสารคดี จะต้องมีทางออก ทางใดทางหนึ่ง

จะต้องมีหนทาง ทางใดทางหนึ่ง ที่พาพวกเขาออกจากมรสุมชีวิตที่ว่านี้ อาจเป็นวิทยาศาสตร์ อำนาจเหนือ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นายหมอกสีเทาค้นพบคำตอบชั้นนอกของคำถามที่มี มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ยอมจำนน

พวกเขาเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดทำให้พ่ายแพ้ได้หากเขาไม่ยอมพ่ายแพ้ แต่คำตอบที่เป็นหัวใจของปัญหาเล่า เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมทิ้งเมืองอันแสนอันตรายนั้นไป

ในระหว่างการเดินตามหญิงสาวผู้นั้นเองที่นายหมอกสีเทาค้นพบความเป็นไปได้ของคำตอบนั้น

“ความสัมพันธ์” ความสัมพันธ์นั่นเอง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาไม่ใช่บ้าน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ

หากแต่เป็นความสัมพันธ์ พวกเขาไม่อาจทิ้งญาติสนิท มิตรสหาย คนรู้จัก เพื่อนบ้าน หรือแม้แต่คนคุ้นเคยไปได้ โดยไม่นับถึงคนรักหรือคนที่พวกเขารัก

ความสัมพันธ์เป็นดังราก เป็นดังเถาวัลย์เกาะเกี่ยวที่มองไม่เห็น มันเป็นแรงดึงดูด ฉุดรั้งปริมาณมหาศาลที่พาผู้คนมาเจอกัน อยู่ร่วมกัน และไม่ยอมพรากจากกัน

นายหมอกสีเทาจ้องมองไปเบื้องหน้า หญิงสาวผู้นั้นกำลังดุ่มเดินไปที่ใดสักที่ เธอดูไม่สนใจ ไม่แยแส ไม่ใส่ใจต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว โลกนี้ดูเป็นเพียงสถานที่อันโดดเดี่ยวสำหรับเธอ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เรื่องเช่นนี้สำคัญสำหรับเธอไหม

นี่คือสิ่งที่นายหมอกสีเทามีคำถาม แต่ยิ่งเขาถามตนเองแบบนั้นมากเพียงใด

เขาก็พบว่าตัวของเขานั้นก็ไม่ต่างจากเธอเลย

 

เขาช่างเป็นคนโดดเดี่ยว หมดจด ไร้สิ่งสะสม เขาช่างเป็นคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับใครเลย มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตแตกต่างอันใดสำหรับเขา หากโยนทิ้งซึ่งอุดมการณ์ที่เขาพยายามจะไขว่คว้าไว้แล้วละก็ เขามีสิ่งใดหรือที่ควรค่าแก่การหายใจอีกต่อไป

อากาศภายนอกจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มันแตกต่างต่อเขามากกระนั้นหรือ

ไม่เลย เขายังอยู่ได้เพียงเพราะอุดมการณ์ อุดมการณ์ลมๆ แล้งๆ ที่จะเอาชนะหมอกควันที่ปกคลุมเมืองนี้

แต่ความสัมพันธ์ ใช่สิ ความสัมพันธ์ที่เขาไม่เคยคิดจะมีและหวังว่าจะมี หากเขาปลูกสร้างความสัมพันธ์กับหญิงสาวผู้นี้ได้ ชีวิตของเขาจะมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่

จู่ๆ เขาก็คิดถึงการมีครอบครัว การตื่นขึ้นมาอย่างไม่โดดเดี่ยว

การตื่นขึ้นมาอย่างไม่เดียวดาย การมีใครสักคนเคียงข้าง เขาเชื่อว่ามันจะทำให้เขาละทิ้งเมืองเมืองนี้ได้ยากเย็นขึ้น และเขาเชื่อว่ามันก็จะให้ความรู้สึกแบบเดียวต่อเธอด้วย

หญิงสาวผู้นั้นมุ่งหน้าไปยังที่ทำงานของเธอ ไปยังห้องทดลองของเธอ เมื่อรู้สึกตัว เธอรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบมหาศาลบนบ่าของตนเอง ยิ่งเธอทำงานน้อยลงเพียงใด โอกาสที่จะค้นพบวิธีกำจัดหมอกควันเหล่านี้ยิ่งถอยห่าง เนิ่นนานออกไปอีก ยิ่งเธอไม่มั่นใจต่อการค้นคว้าของเธอมากเพียงใด หมอกควันจะยิ่งทรงพลังขึ้น ยิ่งเธอไม่ทุ่มเทต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามากเพียงใด หมอกควันก็จะขยายตัวครอบคลุมทุกสิ่งไม่พ้นแม้จิตวิญญาณของผู้คนในเมือง

แต่หากเเม้นเธอสามารถค้นพบวิธีการจัดการกับหมอกควันที่ปกคลุมเมืองนี้ได้ หากเธอสามารถค้นพบการปกป้องจิตวิญญาณของผู้อื่นได้ แล้วจิตวิญญาณของตัวเธอเองเล่า มันถูกทำให้รอดปลอดภัยด้วยหรือไม่

นาทีนั้นเอง ที่เธอรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวภายในตน

เธออาจเป็นผู้ชนะในสงครามหมอกควัน แต่ในสงครามความสัมพันธ์เธอกลับเป็นผู้แพ้อย่างสิ้นเชิง

 

เป็นเวลาเนิ่นนานมากที่เธอไม่เคยผูกสัมพันธ์กับใคร

เธอใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในห้องพักเล็กๆ ของเธอ ในห้องทำงาน

เธอมีทุกอย่างครบครันเว้นแต่ความสัมพันธ์

เธอกินอาหารเพียงลำพัง เดินวนเวียนไปมารอบเครื่องมือที่เธอใช้ในการทดลอง

เมื่อออกจากห้องประชุม เธอแทบไม่เคยมีบทสนทนากับใคร เมื่อกลับถึงห้องพัก เธอได้เเต่นอนลืมตาอยู่บนเตียง

ในคืนที่เงียบเหงา เธอจะเปิดก๊อกน้ำ ปล่อยให้น้ำไหลออกจากท่อและนอนฟังเสียงน้ำไหลนั่นจนหลับไป

ก่อนหน้านั้นเธอเคยเลี้ยงต้นกุหลาบเล็กๆ ต้นหนึ่ง แต่หลังจากหมอกควันปกคลุมเมือง ต้นกุหลาบนั้นตายจากไป

หลังจากนั้นเธอไม่มีความผูกพันกับสิ่งใดเลย

หญิงสาวผู้นั้นถอนหายใจ เธอขบคิดถึงการมีครอบครัว การมีความสัมพันธ์กับใครสักคน

การตื่นขึ้นและหลับลงอย่างไม่โดดเดี่ยว

เธอคิดถึงการมีบทสนทนา เธอคิดถึงการกินอาหารที่เธอไม่ต้องทิ้งส่วนที่เหลือไปในทุกมื้อ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาให้อยู่เพียงลำพัง มนุษย์ไม่ควรกินอาหารเพียงลำพัง ล้มตัวลงหลับเพียงลำพัง ตื่นขึ้นเพียงลำพัง

มนุษย์ควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถหยิบยื่นตนเองให้กับบุคคลอื่น ให้กับสิ่งอื่นได้ มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้พ่ายแพ้

โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ต่อความโดดเดี่ยวแบบจำยอม

 

เธอถอนหายใจ ต้องขอบคุณหน้ากากป้องกันมลพิษอันใหม่ที่ทำให้เธอถอนหายใจได้สะดวกกว่าเดิม

เธอเดินใกล้ที่ทำงานของเธอไปทุกขณะ อีกเพียงไม่นาน เธอจะไปถึงที่ทำงานของเธอ ถึงห้องทดลองของเธอ อีกเพียงไม่นาน เธอจะเดินวนไปวนมาภายในห้อง ขบคิดถึงวิธีการนานาที่จะทำให้สิ่งที่เธอทำอยู่นั้นใช้การได้ อีกไม่นานเธอจะกลับสู่โลกอันโดดเดี่ยวของเธออีกครั้งหนึ่ง

ทว่าก่อนที่เธอจะก้าวเดินในช่วงสุดท้ายนั่นเอง เธอก็เปลี่ยนใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเกลียดชังสถานที่ทำงานของเธอ

เกลียดชังห้องทำงานของเธอ สถานที่อันโดดเดี่ยว เงียบเหงา ไร้หัวใจ

เธอคิดถึงการไปที่ใดสักแห่ง ที่ใดที่มีผู้คนที่เธอจะสามารถสนทนาได้ ที่ใดสักแห่งที่เธอจะผูกความสัมพันธ์กับใครบางคนได้

เธอหันหลังกลับ มีสถานที่หนึ่งที่เธอนึกถึง

มีร้านกาแฟหนึ่งร้านที่ยังคงเปิดบริการในเมืองนี้ นอกจากโรงภาพยนตร์ที่ผู้คนส่วนใหญ่หลบไปชมภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำซากในเรื่อง “เมืองในหมอก” แล้ว ร้านกาแฟที่มีชื่อว่า “อรุณรุ่ง” เป็นที่ที่คุณจะพบผู้กล้าจำนวนมากที่ไม่แยแสต่อากาศอันเลวร้ายที่นั่น

พวกเขานั่งสนทนา พูดคุย กอด สัมผัส บีบมือ ยิ้มให้กัน

มันเป็นสถานที่เดียวในเมืองอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้ที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย มันเป็นสถานที่เดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ยังคงมีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน

หญิงสาวผู้นั้นไปถึงที่นั่นในอีกสิบนาทีถัดมา

มีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่งที่ร้านกาแฟแห่งนั้น ผู้คนที่ยิ้มแย้มและสรวลเส

หญิงสาวผู้นั้นนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง เธอสั่งเครื่องดื่มธรรมดาของร้าน กาแฟร้อนธรรมดาหนึ่งแก้ว

เธอพิงหลังเข้ากับเบาะด้านหลังอย่างมีความสุข

ไม่ไกลจากนั้น นายหมอกสีเทากำลังกระทำเช่นนั้นด้วย