กาละแมร์ พัชรศรี : เดตแรกกลับมาในห้องเรียน

มันคือความมหัศจรรย์ที่เราได้กลับไปพบตัวเราเอง เมื่อเราลงมือนั่งเขียนเรื่องของตัวเอง ผ่านหัวข้อความรักครั้งแรกในชีวิต…

ในห้องเรียนการเขียนที่ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ได้สอนครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า การเขียนนั้นมีคุณค่าต่อชีวิตเราขนาดไหน มันเป็นการสื่อสารที่สำคัญกับชีวิตเราขนาดไหน อย่างน้อยเราได้ลงนั่งเพื่อสื่อสารกับตัวเองทั้งเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ในฐานะที่ฉันเขียนหนังสือมาสิบกว่าปี การได้เรียนรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่เราทำมาตลอด มันเป็นการพัฒนางานของเราให้มีหัวใจและจิตวิญญาณขึ้นมา

ในหัวข้อที่ครูบอกให้เขียนเรื่อง “เดตแรก” ฉันไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน แต่เหตุการณ์ที่ยังคงแจ่มชัดมันคือเรื่องความรักครั้งแรกในช่วงวัยมัธยมที่ผุดขึ้นมาเหมือนหนังที่เพิ่งดูในโรงภาพยนตร์ทีเดียว

ถ้าคุณพร้อมนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปกับฉันในวันนั้น โปรดขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วจับมือไปด้วยกัน ฉันจะเล่าให้คุณฟัง…

 

ช่วงเวลาเย็นหลังเลิกเรียนวันสุดท้ายของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มันคือวันที่ฉันจะได้เจอกับเขาเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายห้องเพื่อขึ้น ม.4

โต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิมที่ฉันเคยหันไปก็เจอ ต่อจากนี้มันคงไม่มีอีกแล้ว

โต๊ะตัวที่ฉันมักเอาขนม โน้ตเล็กๆ ไปแอบวางอยู่บ่อยๆ ร่องรอยรูปหัวใจบนโต๊ะไม้ที่ฉันแอบไปสลักไว้ มันยังคงอยู่ที่เดิม เพียงแต่จะไม่มีเขาคนนั้นอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป

ฉันตัดสินใจว่า วันนี้เขาต้องได้รู้ความในใจที่ฉันมีให้เขามาตลอด 1 ปี ฉันเลยสอดจดหมายเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะเขาว่า “เลิกเรียนแล้วขอให้มาเจอกันตรงสะพายเชื่อมตึกเรียน”

ตลอดทั้งวันนั้น ฉันจำได้ว่าตัวชาไปหมด หัวใจเต้นตึกๆ ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาเย็น ฉันสัมผัสได้ถึงแสงแดดอันอบอุ่นที่ทาบทอร่างกายที่เย็นเยียบและหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ มือเย็นดั่งน้ำแข็ง ปากสั่นกระทบเหมือนอยู่ในฤดูที่หนาวเหน็บจนบังคับไม่ได้

ในใจคิดวนไปมาว่า เขาจะมาหรือไม่มา ถ้าเขาไม่มา นั่นหมายความว่า เขาไม่เคยชอบหรือแม้แต่สนใจเราเลย

 

เวลาเดินช้ายาวนานจนฉันปวดมวนท้องและเริ่มหายใจไม่ค่อยออก การเฝ้ารอคอยใครสักคนเพื่อบอกความในใจมันช่างทรมานเหลือเกิน

ในขณะที่หัวใจร้อนรุ่มก็มีสายลมเย็นพัดให้เส้นผมปลิวผ่านข้างแก้มฉัน เมื่อเงยหน้ามองขึ้นมา เห็นเขากำลังเดินมาจากอีกฝั่งของตึกเรียน

เหมือนโลกหยุดหมุน หูอื้อ ทุกอย่างเงียบงัน ภาพที่เห็นเหมือนความฝัน เขาเดินมาหาฉันในท่าทีที่เก้อเขิน สายตาเขามองไปทางอื่นบ้าง มองลงต่ำบ้าง และมีรอยยิ้มที่ฉันหลงรักที่ฉันชอบส่งมาจากไกลๆ

ฉันรู้สึกเลยว่า เวลาตอนนั้นมันช่างยาวนาน หัวใจแทบระเบิดออกมานอกอก มือเย็นยะเยือกกว่าครั้งไหนๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันทำสีหน้าอะไรออกไป รู้แต่ว่าฉันบังคับอะไรมันไม่ได้เลย เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

แล้วเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้วจริงๆ ฉันพูดประโยคแก้เขินแบบหาสาระไม่ได้ไป 2-3 ประโยค แล้วยื่นจดหมายที่ฉันเขียนความในใจใส่ซองอันสวยงามประณีตที่ฉันทำมันขึ้นมาเองยื่นส่งให้เขาด้วยมืออันสั่นเทา พร้อมบอกเขาว่า

“อะ เราให้” เวรแท้ที่คิดได้เท่านี้

เขายิ้มเขิน เอื้อมมือมารับ พร้อมบอก “ขอบคุณนะ” ชั่วขณะเวลาที่เขายื่นมือมารับจดหมายฉบับนั้น ปลายนิ้วของเราสัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ฉันรับรู้ถึงความเย็นจากปลายนิ้วของเขา แต่มันกลับทำให้ร่างกายของฉันร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ความร้อนนั้นได้ละลายน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจของฉันให้ละลายลงไป

แขนขาของฉันอ่อนแรงเหมือนจะทรงตัวไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจก้มหน้าแล้วเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่แค่เพียงเสี้ยววินาทีนั้นมันเหมือนวินาทีที่โลกหยุดหมุนเมื่อแขนเสื้อของเราสัมผัสกัน กลิ่นอายจากตัวของเขายังคงแจ่มชัด ฉันแทบจะหยุดหายใจ ณ ขณะนั้น และอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนั้น นานแสนนาน…

ฉันเดินจากมาด้วยหัวใจที่โล่งสบายเหมือนทุ่งดอกไม้บนภูเขากว้าง แสงแดดยามเย็นนั้นงดงามกว่าวันไหนที่ฉัยเคยเห็น แสงสีส้มทองเป็นประกายอยู่รอบๆ ตัวฉัน

ความในใจของฉันถูกส่งต่อไปถึงเขาแล้ว และฉันหวังว่ามันจะเปล่งประกายอยู่ภายในใจของเขาเช่นกัน…

แด่…ความรักครั้งแรกของฉัน

 

คุณอยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าสุดท้ายมันลงเอยอย่างไร

ปล่อยให้มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับฉันเถิด แต่อย่างไรเสีย การได้ลงมือเขียนเรื่องราวความรักในวันนั้น เมื่อเขียนจบน้ำตาฉันไหลเหมือนเขื่อนทลาย ไม่ได้เพราะเศร้าโศกที่คิดถึงเขา แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจที่ฉันได้กลับไปเจอตัวเองคนนั้นแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นที่มีหัวใจรัก มีความโรแมนติก มีความอ่อนโยนคนนั้นได้กลับมาแล้ว

ฉันดีใจที่ได้เจอกับเธออีกครั้ง…