หนุ่มเมืองจันท์ | อ่อน-แข็ง

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ผมอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ

ใช้โปรแกรมที่ตั้งเวลาตามน้ำหนักของอาหารซึ่งส่วนใหญ่จะร้อนเกินไป

ผมใช้วิธียืนรอ

กะว่าสัก 1 นาทีก็พอ

ยืนดูตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทีละ “วินาที” ด้วยความรู้สึกอึดอัด

ทำไมช้าจังเลย

พอได้สติก็เริ่มขำ

แค่ 1 นาทียังรอไม่ได้

ครับ วิธีการที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

บางครั้งเราต้องอย่าโทษตัวเอง

ให้โทษสิ่งอื่นแทน

เช่นครั้งนี้ต้องโทษว่าเป็นเพราะ “เทคโนโลยี” ทำให้เราเป็นอย่างนี้

ผมนึกถึงคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ

เวลาใช้อินเตอร์เน็ตถ้าโหลดข้อมูลนานแค่ไม่ถึง 10 วินาที

เราจะรู้สึกว่าทำไมช้าจัง

ทั้งที่สมัยก่อนเราเคยผ่านยุคที่เปิดคอมพิวเตอร์แล้วต้องรอหลายนาทีกว่าจะใช้งานได้

แต่วันนี้แค่ 10 วินาทีก็นานเกินไปแล้ว

“ความทุกข์” เรื่องหนึ่งของคนสมัยนี้ก็คือ เรื่องการรอคอย

เคยได้ยินเรื่องการแก้ปัญหา “ลิฟต์ช้า” ที่เป็นกรณีศึกษาของวิธีคิดแบบ “ดีไซน์ ธิงกิ้ง” ไหมครับ

มีอาคารแห่งหนึ่งมีปัญหาว่าลูกค้าที่เช่าตึกบ่นว่าลิฟต์ช้า

ถ้าเปลี่ยนลิฟต์ใหม่ต้องใช้เงินหลายล้านบาท

แต่มีลูกน้องคนหนึ่งแก้ปัญหาด้วยวิธีการแบบง่ายๆ

เขาบอกว่าสาเหตุที่ทำให้คนรู้สึกว่าลิฟต์ช้าเพราะคนยืนรอลิฟต์นาน

…เบื่อ

เขาเสนอให้ติด “กระจก” ตรงจุดที่ยืนรอลิฟต์

คนที่ยืนรอเมื่อเห็นกระจกก็เริ่มจัดผม ขยับเสื้อผ้า ดูหน้าตาตัวเอง

แล้วตั้งคำถามในใจ “ใครนะสวยจัง”

แป๊บเดียวลิฟต์ก็มาแล้ว

หรือมีคนเคยบ่นว่ารถไฟสายนี้ช้าจัง

ก็มีคนเสนอไอเดียให้นายแบบ-นางแบบ ไปเดินขายอาหารบนรถไฟ

เชื่อไหมครับพอถึงสถานีปลายทาง

ผู้โดยสารทุกคนบ่นเหมือนกัน

ทำไมวันนี้รถวิ่งเร็วจังเลย

น่าจะวิ่งช้าเหมือนวันก่อน

ทั้งที่รถไฟวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิม

ได้ยินตัวอย่างแบบนี้หลายเรื่อง แต่มาชัดเจนที่สุดตอนที่ไปเซี่ยงไฮ้ครับ

ที่นี่มีร้านชาบูร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านระดับ 6 ดาว

คือ บริการดีแบบเหนือความคาดหมาย

ผมไม่ได้ “ว้าว” มากกับรสชาติอาหาร

เนื้อต่างๆ ก็อร่อยดี แต่ที่เมืองไทยก็มี

มีน้ำซุปให้เลือกมากมาย

หม้อหนึ่งจะแบ่งเป็น 2 หรือ 4 แบบก็ได้

ก็อร่อย

แต่เมืองไทยก็ไม่แพ้

ชอบอย่างเดียวคือ “ผัก” ครับ

ไม่ใช่ผักธรรมดา

แต่เป็น “ผักชี”

“ผักชี” ที่นี่ไม่ได้โรยหน้าแบบบ้านเรา

เขามาเป็นกำแบบผักบุ้งครับ

รสชาติผักชีที่เซี่ยงไฮ้ไม่ฉุนเฉียวเหมือนบ้านเรา

เคี้ยวเล่นได้สบาย

กลิ่นหอมอ่อนๆ ก้านอวบๆ

อร่อยดีครับ

ที่น่าตื่นตาตื่นใจของร้านนี้คือ “น้ำจิ้ม”

เขามีเครื่องปรุงน้ำจิ้มเยอะมาก

ทั้งน้ำซอสต่างๆ

กระเทียม หัวหอม พริกป่น ฯลฯ

รวมทั้ง “ผงชูรส” ด้วยครับ

เขาให้เราปรุงเองตามชอบ

แต่ถ้าไม่รู้จะปรุงอย่างไร บนผนังจะมีสูตรการทำน้ำจิ้มหลายสูตรให้เลือก

แต่เป็นภาษาจีน

ไฮไลต์ของร้านนี้คือ “บะหมี่” ครับ

เขาไม่ได้มาเป็น “เส้น”

แต่มาเป็น “คน”

พนักงานจะมาโชว์การยืดเส้น และควงเส้นแบบ “จอมยุทธ์” ให้เราดูที่โต๊ะ

“บะหมี่” จะอร่อย เส้นต้องเฉี่ยวพื้นร้านประมาณ 1 เซนติเมตร

เหล่ายีสต์ที่โรยไว้ตามพื้น จะกระโดดเกาะเส้นบะหมี่แล้วย่อยสลายแป้ง

บะหมี่จะนุ่มอร่อยครับ

พูดเล่นครับ

ผมเฉยๆ กับรสชาติ “บะหมี่” ที่เส้นใหญ่เกือบเท่า “ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่”

แต่การโชว์ทำให้ทุกโต๊ะต้องสั่ง

มันดูตื่นตาตื่นใจดี

ผมนึกถึงอาหารฟิวชั่นทั้งหลายที่มี “เชฟ” มาเล่าถึง Story ของอาหารแต่ละเมนู

เรื่องราวทำให้เมนูนั้นน่าอร่อยขึ้นมาก

แต่พอเคี้ยวแล้วกลืน

สุดท้าย “อาหาร” ก็อยู่ที่ “รสชาติ”

ไม่ใช่ Story

ร้านนี้คนจะแน่นมาก ต้องรอคิว

ตามปกติเรื่องการรอคิวจะเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย

แต่ที่ร้านนี้เขาแปร “จุดอ่อน” ให้เป็น “จุดแข็ง” ครับ

ที่หน้าร้านมีโต๊ะให้นั่งรอประมาณ 10 กว่าโต๊ะ

ใครที่ยังไม่ได้โต๊ะก็นั่งรอที่นี่

เขามีเครื่องดื่มให้ดื่มฟรี

มีของขบเคี้ยว ผลไม้ ลูกอมให้กินฟรี

ไม่ได้จัดให้นิดๆ หน่อยๆ นะครับ

เขาให้เติมเท่าไรก็ได้

ใครมีเด็กมา ตามปกติเด็กจะร้องโวยวายถ้าเราต้องยืนรอคิวนานๆ

แต่ที่นี่มีห้องเด็กเล่นครับ มีไม้ลื่นเตี้ยๆ มีลูกบอล มีทีวีฉายการ์ตูน

พ่อแม่สามารถฝากลูกไว้ในห้องนี้ได้ เพราะมีพี่เลี้ยงดูแลให้

เด็ดที่สุดคือ มีบริการทำสีเล็บฟรีสำหรับสาวๆ

ส่วนผู้ชายมีเก้าอี้นวดให้ด้วย

เขาทำให้ช่วงการรอคอยมี “ความสุข”

ลูกค้าจะไม่รู้สึกว่า “นาน”

นั่งเพลินๆ คุยกันไปเรื่อยๆ ได้

และถ้ารอนานเกินไป ก็สามารถทิ้งคิวกลับได้เลย

เขาไม่คิดเงินค่าเครื่องดื่ม ของขบเคี้ยว

ถามว่าแบบนี้จะมีกำไรเหรอ

ผมเชื่อว่าเขาคิดค่าบริการเหล่านี้ลงในราคาอาหารเรียบร้อยแล้ว

“จุดเด่น” ของร้านนี้คือ “วิธีคิด” แทนใจ “ลูกค้า”

อะไรคือ “จุดอ่อน”

เขาก็แปร “จุดอ่อน” ให้เป็น “จุดแข็ง”

สร้าง “ความแตกต่าง”

พอลูกค้าชอบ เขาก็จะบอกต่อ

เป็นการประชาสัมพันธ์ร้านให้ฟรี

ไม่ต้องจ่ายตังค์