กาละแมร์ พัชรศรี : ศีล 5 เรารักษากันได้ไหม

ฉันว่าตั้งแต่ฉันเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนในวิชาพุทธศาสนา ฉันก็ต้องท่องแล้วว่า “ศีล 5” มีอะไรบ้าง

แต่เราก็ได้แต่ท่องๆ ท่องจำจนขึ้นใจ บอกได้หมดว่าข้อ 1-5 ประกอบด้วยอะไรบ้าง

1. ไม่ฆ่าสัตว์
2. ไม่ลักขโมย
3. ไม่ผิดลูกเมีย สามีคนอื่น
4. ไม่พูดโกหก
5. ไม่ดื่มสุราของเมา

แต่ทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยได้สำเหนียกศีลอย่างตั้งใจเลยสักครั้ง รู้ว่ามีอะไรแต่ไม่เคยทำความเข้าใจหรือตั้งใจจะปฏิบัติตามแบบจริงจัง

%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b9%8c-1

จนเมื่อชีวิตเกิดใหม่ในวัย 40 ปี ฉันเริ่มตระหนักถึงการมีสติในการดำรงชีวิตทุกๆ ลมหายใจ เรามาใคร่ครวญตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปแบบอัตโนมัติ เหมือนตั้งเครื่องแล้วใช้ชีวิตไปตามนั้นด้วยความเคยชิน พอเรามีสติเราก็จะเริ่มเห็นตัวเองชัดขึ้น รู้ว่าคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จากที่เมื่อก่อนคิด พูด ทำไปแล้วค่อยมาสำนึกตัว

เมื่อได้ไปภาวนาและต้องเป็นคนนำอาราธนาศีล ฉันจึงตั้งใจที่จะรักษาศีลให้ครบทุกข้อ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอะไร เราก็ทำมันไปแบบสบายๆ ไม่อึดอัด ไม่ได้เหมือนโดนบังคับเพราะเราทำด้วยความเต็มใจและตั้งใจ

เมื่อทำได้ ที่แน่ๆ คือเรารู้เลยว่าเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปก่อความเดือดร้อนรำคาญใจให้ใคร
สิ่งที่ตั้งใจจะขัดเกลาตัวเองต่อมาคือ การปฏิบัติภาวนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน แต่เมื่อคนเราเริ่มก้าวแรก มันจึงมีก้าวต่อไปตามมา เพียงแต่เราต้องก้าวมันบ่อยๆ ก้าวมันให้ได้ทุกวัน มันจึงจะก้าวหน้า

การได้พบครูบาอาจารย์ที่แนะแนวทางในการภาวนาก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง การได้ไปภาวนา 5 วันกับครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง อย่างที่เคยเล่าไปก่อนหน้านี้ว่าเป็นการเอาชนะใจตัวเองได้อย่างยิ่งยวด และยิ่งพอได้เจอพระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต วัดบุญญาวาส จ.ชลบุรี ด้วยแล้ว ทำให้ปัญญาที่มีน้อยนิดของฉันสว่างไสวและเติบโตขึ้น

การได้ไปนั่งฟังธรรมจากพระอาจารย์ครั้งละ 2 ชั่วโมง ทำให้ประตูแห่งการฝึกฝนทางจิตวิญญาณของฉันได้ถูกเปิดออก และพร้อมจะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันมากขึ้น

%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b9%8c-2

ล่าสุดพระอาจารย์ให้ธรรมะเรื่องการรักษาศีล ท่านบอกว่าจงรักษาศีลไว้ให้บริสุทธิ์ ไม่เอาศีลไปแลกกับอะไรทั้งสิ้น ก่อนที่ท่านจะมาบวช ตอนเป็นเด็กก็ไปจับปูลมกับเพื่อนเพื่อเอามาทำอาหาร แต่ก็มีผู้มีพระคุณมาสั่งสอนและถามว่า “เจ้ามีรักพี่น้อง พ่อแม่ของเจ้าหรือไม่ ถ้ารัก แล้ววันหนึ่งมีคนมาพลัดพรากพ่อแม่ พี่น้องเจ้าไป เจ้าจะรู้สึกอย่างไร” จากวันนั้นท่านจึงเลิกฆ่าสัตว์

และสมัยตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนก็ชวนดื่มสุรา ดื่มไปดื่มมา วันหนึ่งนั่งรถเมล์ผ่านร้านขายของเห็นคนมุงกันมากมาย เขามุงผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าร้านซึ่งกำลังเมามายและอาเจียนออกมาต่อหน้าผู้คน ท่านเห็นดังนั้นก็บอกกับตัวเองเลยว่า เราจะเลิกกินเหล้าแล้ว เราไม่อยากเป็นอย่างผู้ชายคนนั้น สภาพมันดูไม่ได้เลย

เมื่อเรารักษาศีลได้แล้ว ก็ต้องฝึกสมาธิ ฝึกภาวนาด้วย ที่ต้องฝึกฝนทุกวัน วันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะเราจะได้มีกำลังของสติมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะนำไปสู่การมีปัญญาที่เพิ่มขึ้น และนำไปสู่การตัดกิเลสทั้งมวลได้ในที่สุด

ท่านแนะนำการฝึกสมาธิว่า ให้ดูลมหายใจก็ได้ ดูท้องพองยุบก็ได้ บางทีท่านก็เริ่มจากอ่านหนังสือก่อน พอมีสมาธิแล้วท่านก็นั่งปฏิบัติเลย หรือถ้าคนไหนง่วงก็เปลี่ยนจากนั่งสมาธิมาเป็นเดินจงกรม ใครเดินจงกรมแล้วง่วงก็เปลี่ยนมานั่งสมาธิ แต่ถ้าจะเอาชนะตัวเองให้ได้ต้องทวนกระแสมันขึ้นไป เช่น อยากนั่งให้ไปเดิน อยากเดินให้ไปนั่ง คือทำอะไรที่มันขัดใจตัวเอง แต่ถ้ามันง่วงมากจริงๆ ตอนกลางคืน ลองครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งสองแล้วยังง่วง ก็ให้นอนไปเลย

แต่ถ้าตื่นมาตอนเช้ามานั่งแล้วง่วง อันนี้ต้องทวนกระแสฝ่าความง่วงไปให้ได้

 

พระอาจารย์ยังสอนถึงวิธีการดูจิตดูใจตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ทั้งทุกข์และสุข เปรียบได้กับจิตเราเป็นแมงมุม แล้วมีใยรอบตัวเป็นวงกลม เวลามีตัวอะไรมาติดที่ใย เราก็เดินไปจับที่สิ่งนั้น เมื่อจับได้เราก็ปล่อย กลับมาอยู่ตรงกลาง วางใจวางเฉยเป็นอุเบกขา รู้ว่าอันนี้สุข ไปจับไปแตะแล้วปล่อยให้รู้ว่าสุข แล้วกลับมาวางเฉย เมื่อมีความทุกข์ ความโกรธ ความไม่พอใจก็ทำเช่นกัน จับแล้วปล่อย กลับมาอยู่ตรงกลางวางเฉย

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไร้ความรู้สึกกับสิ่งรอบตัว อย่างเช่น เราไปสถานที่หนึ่งสวยจังเลย หรือข้าวของที่มีที่เราชอบสวยจังเลย จิตเราก็รู้ว่ามันสวย แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่ามันไม่ได้สวยยั่งยืนตลอดไป ของใช้วันหนึ่งก็ต้องเก่าพัง ใช้ได้กับคนที่รักเช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรอยู่คงทนตลอดไป คือเราต้องรู้เท่าทันมัน

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ยากถ้าเราจะฝึกฝนเพื่อให้เรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้เท่าทันจิตตัวเอง ถ้าเราไม่ฝึกฝน เวลาเรามีเรื่องอะไรมากระทบ วันนั้นเราก็จะล้มไม่เป็นท่า

เราทำเรื่องง่ายๆ คือปล่อยกายใจเราไปแบบสบายๆ เหมือนตั้งเครื่องอัตโนมัติมานานแล้ว ถึงเวลาที่เราจะควบคุมมันด้วยตัวของเราเอง เพราะเราคือผู้กำหนดชะตาชีวิตและจุดหมายปลายทางของชีวิตด้วยตัวเราเอง