เสถียร จันทิมาธร : เกิดมากับ “ปม” (1)

เสถียร จันทิมาธร

โจทย์อันกิมย้งนำเสนอให้กับ “เอี้ยก๊วย” ผ่านยุทธนิยายมังกรหยกภาคจอมยุทธ์อินทรีคู่นั้น ถือได้ว่าสาหัสอย่างยิ่ง

ลำพังกำพร้าพ่ออย่างเดียวก็หนักหนาอย่างยิ่งแล้ว

แต่นี่ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ มารดาก็สิ้นไป จากนั้นเป็นต้นมาเอี้ยก๊วยก็ตกอยู่ในสภาพ “บักน่อยตุหรัดตุเหร่”

ไร้ทั้งพ่อ ไร้ทั้งแม่

แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวัยเยาว์อันอบอุ่นของก๊วยพู

เท่านั้นยังไม่ถือว่าสาหัสอย่างเพียงพอแล้ว ตราอันประทับอยู่กับชาติกำเนิดของเอี้ยก๊วยอย่างจำหลักหนักแน่นคือ รากฐานและความเป็นจริงของบิดา เอี้ยคัง

1 ลืมชาติกำเนิด หันไปภักดีกับศัตรูและชนชาติศัตรู

1 ดำรงชีวิตอย่างเสเพล มากรัก พร้อมจะสร้างสัมพันธสวาท ขณะเดียวกัน ก็พร้อมจะตีจากผละไป

ขาดเยื่อใย ขาดไมตรี

ไม่ว่าจะมองในแง่ “กรรมพันธุ์” ไม่ว่าจะมองในแง่ “สิ่งแวดล้อม” ยากเป็นอย่างยิ่งที่เด็กอย่างเอี้ยก๊วยจะเอาตัวรอดได้

เอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย

ขอให้ศึกษาจากการเปิดตัวในบทที่ 2 ว่าด้วยทายาทรุ่นใหม่ได้พบหน้ากัน เบื้องหน้าลี้มกโช้ว เบื้องหน้าก๊วยพู

กิมย้งบรรยายตามสำนวน น.นพรัตน์ ว่า

ยามนั้น ปรากฏเด็กหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ มือซ้ายหิ้วไก่โต้งตัวหนึ่ง ปากร้องบทเพลงอันครื้นเครง วิ่งกระโดดโลดเต้นมาถึง เห็นหน้าถ้ำเตาเผามีผู้คนต้องร้องว่า

“นี่ พวกท่านมายังบ้านของข้าพเจ้าทำอะไรหรือ”

พลางเดินถึงเบื้องหน้า ลี้มกโช้วกับก๊วยพูเอียงคอสำรวจดูสตรีทั้ง 2 จุ๊ปากดังจิ๊กจั๊ก กล่าวว่า

“หญิงงามใหญ่รูปโฉมงามงด หญิงงามน้อยก็หมดจด โกวเนี้ยทั้ง 2 มาหาข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าผู้แซ่เอี้ยหามีสหายเป็นหญิงงามเช่นนี้ไม่”

ขณะกล่าวปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งเล่นลิ้นคารม

ทั้งๆ ที่พักอาศัยอยู่ในถ้ำเตาเผา อาศัยเป็นบ้าน ซึ่งในสายตาของก๊วยพู “สถานที่สกปรกเช่นนี้ผู้ใดต้องการมา”

และร้องทักออกไปอย่างหยามเหยียดว่า “ขอทานน้อย ผู้ใดมาหาท่าน”

กระนั้น ในอากัปกิริยาของมันกลับเหมือนกับเป็นสวรรค์วิมานแมน นี่ย่อมสวนกับสภาพความเป็นจริงอย่างตรงกันข้าม กลับไม่มีปมด้อยแม้แต่นิดเดียว กลับภาคภูมิใจเป็นอย่างสูง

ขอให้ศึกษาท่วงทีบางตอนของเขาจากสำนวนแปล “คนบ้านเพ” ผ่านจอมยุทธ์วิหคเทพจะสัมผัสได้ในบางแง่มุม

เด็กชายวัยรุ่นอาภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่งเห็นนางประทุษร้ายบู๊ซาเนี้ยจนเลือดตกยางออก ทั้งยังเจ็บตัวเด็กหญิงทั้ง 2 ไปให้รู้สึกว่าเป็นการข่มเหงรังแกกันจนเกินเหตุ

จึงตัดสินใจโผพุ่งกายเข้าไปกอดรัดร่างลี้มกโช้วเอาไว้

แขนทั้ง 2 ของลี้มกโช้วหนีบร่างเด็กหญิงเอาไว้ข้างละคนมิได้ระวังเด็กชายว่าจะกระโจนเข้ามากอดรัด ครั้นรู้สึกตัวว่าใต้รักแร้มีแขนคู่หนึ่งสอดเข้ามาโอบรัดพลันสะดุ้งเฮือกมิทราบเป็นเพราะเหตุใดๆ

จู่ๆ ก็อ่อนระทวยไปทั่วสรรพางค์

นับแต่เจริญวัยย่างเข้า 10 ขวบ ลี้มกโช้วมิเคยถูกชายสัมผัสเนื้อต้องตัว มาจนอายุ 30 ปียังเป็นสาวบริสุทธิ์ ไหนเลยจะคาดคิดว่าวันนี้ถูกเด็กชายผู้นี้สวมกอดร่าง ครั้นนางจับตัวไว้ได้คิดจะกระแทกด้วยฝ่ามือให้หัวใจมันแหลกละเอียด

แต่เมื่อครู่ได้ยินคำกล่าวสรรเสริญตนว่ามีสิริโฉมสะคราญตา เป็นคารมอันเปล่งออกมาจากใจจริง จึงอดที่จะปลาบปลื้มชื่นชอบมิได้ โวหารนี้หากออกมาจากปากชายฉกรรจ์ไซร้ รังแต่จะยังความโกรธแค้นชิงชังแก่นาง

ทว่า เมื่อเป็นวาจาจากปากเด็กชายวัยรุ่นอายุราว 13-14 ปี ความรู้สึกผิดแผกแตกต่างไป เกิดใจอ่อนนึกสงสารมิอาจทำร้ายได้ลงคอ

นี่ย่อมเป็น “วาสนา” อันเอี้ยก๊วยได้มาแต่เอี้ยคัง ผู้บิดาอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นวาสนาที่มากด้วยคารมอุดมด้วยโวหาร

สร้างเสน่ห์ สร้างความหลงใหล

เหมือนกับจะเป็น “จุดแข็ง” แต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็น “จุดอ่อน” ประดุจดั่งเส้นไหมแดงร้อยเชื่อมชีวิตและเรื่องราวของเอี้ยก๊วยให้ดำเนินไป ไหลเรื่อยราวกับสายธารอันเหยียดยาว

ด้านหนึ่ง สร้าง “ปัญหา” ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง สร้าง “ความแข็งแกร่ง”