เลือดข้น-คนแค้น

แม้จะมีคนบอกว่าการกำเนิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐละม้ายคล้ายคลึงกับพรรคสามัคคีธรรมในอดีต

นั่นคือ เป็นพรรคการเมืองเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจต่อจากคณะรัฐประหาร

และรูปแบบการตั้งพรรคด้วยการดูดอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองเก่าเหมือนกัน

แต่ที่ “แตกต่าง” กันชัดเจนมากก็คือ ในอดีตการย้ายพรรคเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์” ล้วนๆ

ทั้งผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะอยู่สังกัดพรรคที่กุมอำนาจรัฐย่อมได้เปรียบพรรคอื่นๆ

และอาจมีข้อแลกเปลี่ยนเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง

รวมทั้งเรื่อง “กระสุนดินดำ”

แต่ครั้งนี้ “ปัจจัย” ที่แรงที่สุดที่ทำให้อดีต ส.ส.ย้ายพรรค คือ เรื่องคดีความของตัวเองและคนในครอบครัว

หลายคนจึงย้ายพรรคอย่าง “จำใจ”

ไม่ได้ไปเพราะ “รัก”

แต่ต้องไปพร้อมกับ “ความแค้น”

นักการเมืองทุกคนล้วนมีฤทธิ์มีเดช

ไม่ใช่ “แมวเชื่อง”

หลายคนที่ย้ายไปมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “คนเสื้อแดง”

ไม่ว่าจะเป็น “วราเทพ รัตนากร-สันติ พร้อมพัฒน์-สุพล ฟองงาม-พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์-สุภรณ์ อัตถาวงศ์-อำนวย คลังผา”

บางคนถึงขั้นเคยนอนถนนร่วมกับ “คนเสื้อแดง” มาแล้ว

ถ้าสังเกตน้ำเสียงของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” และ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ให้ดี

ทั้งคู่ไม่ได้ถีบหัวส่ง “เพื่อน” แบบไร้ไมตรี

แต่มีท่วงทำนองของความเข้าใจว่าทำไมอดีต ส.ส.แต่ละคนถึงต้องลาออกจากพรรคเพื่อไทย

“ไมตรี” นี้เองที่มี “ค่า” ในอนาคต

เพราะคนที่จากไปด้วย “ความแค้น” พร้อมจะเอาคืนคนที่ขู่บังคับเขาตลอดเวลา

รับปากว่าจะย้ายพรรค

แต่รับปากไม่ได้ว่าจะได้เป็น ส.ส.

เพราะคนตัดสินคือ “ประชาชน”

อดีต ส.ส.ภาคเหนือและอีสานที่ออกจากพรรคเพื่อไทย

สิ่งที่เขาหวั่นกลัวที่สุดคือ “กระแส”

เพราะพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน และเพื่อไทยเคยสร้างปรากฏการณ์ “นกแล” ทางการเมือง

ผู้สมัครโนเนมของพรรคสามารถล้มยักษ์ “บิ๊กเนม” ที่ย้ายพรรค ยังเป็น “ภาพหลอน” ของอดีต ส.ส.ทุกคน

ไม่มีใครรู้ว่าในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ “กระแส” จะเป็นอย่างไร

ถ้าในโค้งสุดท้าย คะแนนเริ่มสู้ไม่ได้

และมีเสียงโทรศัพท์ทางไกลจากต่างแดนดังขึ้นมา

บางทีกลไก “ความแค้น” ในใจอาจทำงาน

อาจมีคนยอมปล่อยเท้าจาก “คันเร่ง” เพื่อรักษา “ไมตรี” ในวันข้างหน้าก็ได้

ไม่มีใครรู้จริงๆ