ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศอินโดจีน |
เผยแพร่ |
หัวเรื่องข้างต้น ถอดความมาจากภาษาอังกฤษว่า “chinese again!” ที่เป็นแฮชแท็กยอดฮิตในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กเพจในประเทศกัมพูชายามนี้
เป็นหลักฐานบ่งชี้ประการหนึ่งว่า กระแสต่อต้านจีนกำลังเพิ่มดีกรีมากขึ้นทุกทีที่นั่น
กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งกัมพูชาให้ตัวเลขเอาไว้ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลกันเข้ามาเที่ยวในกัมพูชามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ระหว่างมกราคมจนถึงสิงหาคมปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศมามากกว่า 1.27 ล้านคน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 72 เปอร์เซ็นต์
ทางกระทรวงคาดหมายว่า อัตราการเพิ่มในระดับเดียวกันนี้จะยังคงดำเนินไปต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้
แต่คนจีนในกัมพูชาไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยว ยังมีคนงานชาวจีนกับบรรดานักธุรกิจ ที่หอบเงินหอบกิจการมาลงทุนอยู่ในประเทศอีกเป็นจำนวนมาก
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ยิ่งนับวันยิ่งกระชับสัมพันธ์ทางการทูตกับทางการปักกิ่งมากขึ้นและมากขึ้นทุกที
ผลก็คือ ไม่เพียงมีเงิน “ให้เปล่า” จากจีนเพิ่มมากขึ้น เงินในรูปของการให้ความช่วยเหลือทางทหาร และในรูปของการลงทุนในโครงการธุรกิจก็เพิ่มทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว
มากถึงขนาดคนกัมพูชาเริ่มหวั่นกลัวว่าประเทศของตัวเองกำลังถูก “ขาย” ให้กับเพื่อนบ้านจากทางเหนือ
ยง เฮง นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวในระดับระหว่างประเทศวัย 25 ปี ผู้ก่อตั้ง “เครือข่ายผู้นำทางการเมืองหนุ่มสาวแห่งอาเซียน” บอกว่า อิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของคนจีนในกัมพูชา เป็น “ภัยคุกคามที่มีอยู่จริง” ต่อทั้งวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ประชาธิปไตย เรื่อยไปจนถึงสิทธิมนุษยชนและจริยวัตรที่พึงมีของคนกัมพูชา
ในความรู้สึกของยง เฮง คนกัมพูชา “มีจำนวนนับไม่ถ้วน” ทั่วประเทศที่มีความรู้สึก “ไม่พอใจลึกซึ้งยิ่ง” ต่อพฤติกรรมไร้จริยะของกลุ่มแก๊งคนจีนบางกลุ่ม “ที่ถูกเรียกว่านักลงทุนจีน” ซึ่งมักใช้วิธีการรุนแรงต่อชาวกัมพูชา โดยเฉพาะต่อ “ผู้หญิงกัมพูชาที่ปราศจากความผิด” ทั้งในช่วงที่ผ่านมาและเมื่อเร็วๆ นี้
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที ทั้งในแวดวงสื่อหลักและสื่อสังคมออนไลน์ในกัมพูชาทุกวันนี้ แทบไม่มีวันไหนว่างเว้นจากข่าวคราว หรือประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับคนจีน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิวาทระหว่างแก๊งด้วยกันในบาร์ นักท่องเที่ยวเมาแล้วอาละวาดไล่กวดรถราบนท้องถนน เรื่อยไปจนถึงแก๊งกรรโชกทรัพย์ออนไลน์
อย่างที่คนไทยเรียกว่าแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์
ว่ากันว่า ปรากฏการณ์ “ต่อต้านจีน” นั้น เห็นที่ไหนไม่เด่นชัดเท่ากับที่สีหนุวิลล์อีกแล้ว
นักลงทุนชาวจีนใช้เวลา 2 ปี พลิกโฉมหน้าเมืองท่าสงบๆ ที่มีประชากรเพียง 160,000 คนให้กลายเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว กาสิโนสถาน โรงแรม ภัตตาคาร บาร์ และโรงงานหลากหลาย
จนถูกคนท้องถิ่นขนานนามว่าเป็นเมืองซึ่งถูก “คนจีนเทกโอเวอร์” และทำลายอัตลักษณ์ของเมืองไปโดยสิ้นเชิง
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คนตะวันตกก็เคยวิวาทบาทถลุง เคยค้ายา เคยใช้เงินซื้อบริการทางเพศที่นี่มานานก่อนที่จะถูกนักลงทุนจีนพาเหรดกันเข้ามา
อูวิรัก ผู้ก่อตั้ง “ฟิวเตอร์ ฟอรั่ม” องค์กรวิชาการอิสระของกัมพูชา บอกว่า คนท้องถิ่น “รู้สึก” กับคนจีนแรงกล้าเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนจีนอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิงของเมืองนี้แบบ “เร็วเกินไป” และ “มากเกินไป”
เป็นความรู้สึกแรงกล้าชนิดที่ทำให้คนกัมพูชาถึงกับถอยห่างจากเมืองนี้ไปโดยปริยาย
อู วิรัก เชื่อว่าเหตุผลสำคัญยิ่งที่ทำให้ความรู้สึกต่อต้านคนจีนแรงกล้าเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชามักเลือกปฏิบัติให้สิทธิคนจีนเหนือคนกัมพูชาอยู่ร่ำไป
ที่น่ากังวลก็คือ ความรู้สึกนี้เริ่มกลายเป็นการ “เหมารวม” มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีการลั่นปากว่า “เราเกลียดคนจีน คนจีนเลวร้ายทุกคน!”
และบางครั้งถึงขนาด “เมาต่อเมาด้วยกัน ฝรั่งเมายังน่ารักกว่าคนจีนเมา” เลยทีเดียว