ทราย เจริญปุระ : ความรัก, ความตาย และวิธี “จากลา”

“ชื่อของฉันไพเราะเสนาะหู เมื่อนัวเนียอยู่กับลิ้นคุณ”*

แดดนั้นจัดอย่างแดดหน้าหนาว อ้อมอ่าวทะเลและอ้อยอิ่งทิ้งความร้อนบนผิว แต่น้ำเย็นกว่าที่คาดไว้

“ถ้าเป็นห้าปีก่อน ตัวคิดว่าเราจะไปกันรอดมั้ย?”

ความรักนั้นเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ลื่นไหลและไม่อาจควบคุม

เมื่อคุณคิดว่าจับมันได้จนอยู่มือแล้ว มันกลับไหลพรูลอดผ่านอุ้งมือไปได้ง่ายๆ

แต่เมื่อคุณเลิกคิดถึงมัน พอที เจ็บมามากเกินไปแล้ว

มันก็จะออกเดินตามคุณแบบเงียบๆ ไม่ประชิดตัว แต่ไม่ห่างจนหาย

แล้วบทจะง่าย มันก็ง่ายจนน่าประหลาดใจ

“ทุกครั้งคราว ที่คุณบอกลูกสาว ว่าคุณดุด่าว่ากล่าว ด้วยความรักจากใจ เท่ากับคุณได้เสี้ยมสอนให้เห็นโทสะเป็นความปรารถนาดี ซึ่งดูเข้าท่าเข้าที จนถึงวันที่เธอเติบใหญ่ แล้วไว้ใจชายผู้ทำร้ายเธอ เพราะพวกเขาช่างเสมอเหมือนกับคุณ”*

ลึกๆ ในใจฉันก็อาจจะรู้

แต่ก็คงเหมือนกับคนทั่วไป ที่มักจะมองข้ามข้อเท็จจริงในตัวเอง และมองหาการเติมเต็มจากคนอื่น

ความรู้สึกเป็นที่รัก เป็นที่น่าปรารถนา

ความรู้สึกว่าตัวเองสวยพอ ดีพอ และสามารถที่จะชอบหรือไม่ชอบอะไรได้จากใจจริง

ทั้งหมดที่ต้องการนั้น เราทำให้ตัวเองก็ได้ แต่ในวันที่ยังเยาว์ การมองย้อนกลับมาที่ตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เราพุ่งไปข้างหน้า ลากซากผุพังของความรักที่ไม่สมหวัง ขาที่ไม่สวย หน้าอกที่ใหญ่ไม่พอ ผิวกร้านๆ และถังใส่น้ำตาติดตัวเราไปด้วย พอเริ่มจะปักหลัก เราก็เอาผุพังทั้งหมดนั่นมากองวางทีละชิ้นแบบแอบๆ ซ่อนๆ ทำเสียงสูงใส่คำถามว่าเราสบายดีไหม ชอบไหม สนุกไหม โอเคไหม

โอเคสิ

คำตอบคือโอเคอยู่เสมอ

และทั้งที่เราว่าเราแอบซ่อนมันอย่างดีแล้ว ใครบางคนก็ยังจับได้ถึงความหลอกลวงในน้ำเสียง แววโกหกในดวงตา และความพยายามที่จะขัดถูความรังเกียจตัวเองของเราออกจากร่างอย่างเก้กัง

การเรียนรู้ที่จะรักตัวเองอย่างแท้จริงเหมือนทักษะที่สงวนไว้ให้แก่ผู้ที่ผ่านโลกมานานพอ เจ็บช้ำมามากพอ และมีแผลเป็นในชีวิตมากเกินไป

“ปัญหาคือฉันก็ไม่รู้ว่า

การเขียนช่วยเยียวยา

หรือยิ่งทำร้ายฉันจนยับเยิน”*

แดดเอียงตกมาอีกทาง นิ้วเท้าเวลามองผ่านน้ำลงไปดูบิดเบี้ยวหยุกหยิก รอยสักสองข้างขามองผ่านระยิบของน้ำ

ที่ข้างซ้าย, มนุษย์วางแผน-พระเจ้าหัวเราะ

และนรกคือคนอื่นสำหรับขาขวา

ฉันยังไม่ได้มองโลกแปลกไปกว่าเมื่อสิบปีก่อน

แต่รู้จักผ่อนความคาดหวังลง ไม่ให้มันลอยติดลมบนและกระชากสายป่านตึงเจียนขาด

ความคาดหวังต่อตัวเองที่ลดลง มีผลให้เราอ่อนโยนต่อใดใดในโลกมากขึ้น

ช่างมันความไม่สมบูรณ์แบบ

ช่างมันความขี้เกียจ

ช่างมันการเป็นผู้แพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความรัก

ยังไงพระเจ้าก็หัวเราะใส่เราเสมอ

“ขึ้นมั้ย?” ฉันหยีตาถามคู่สนทนาที่ยังเดินถ่ายรูปไปทั่วๆ

“แล้วแต่ตัวสิ” เขาตอบโดยไม่ได้หันกลับมามอง

“เค้าเปิดน้ำในอ่างไว้ให้ เต็มแล้วมั้ง แต่ยังไม่ได้ใส่เกลือนะ”

ฉันค่อยๆ เดินแหวกน้ำขึ้นมา แกะผมแล้วเช็ด

อากาศดีนะ-ฉันคิด-นี่มันอากาศสำหรับเรื่องสั้น

แล้วอยู่ๆ ฉันก็คิดถึงเฮมมิ่งเวย์

“เราน่าจะกินรัมกันนะ มันมีค็อกเทลที่ใช้รัม ชื่อเฮมมิ่งเวย์ด้วยนะตัว”

เอาสิ, เขาตอบ

ฉันกำลังจะตะโกนกลับไปว่า, ไม่ต้องเห็นด้วยกับฉันทุกอย่างก็ได้ ก็พอดีเขาหันกลับมา

“นั่งเฉยๆ นะ เค้าจะถ่ายรูป”

ประโยคที่ฉันจะบอกจึงกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ

เฮมมิ่งเวย์ฆ่าตัวตายนะที่รัก

ยิงตัวเอง

เลือดและเนื้อเยื่อสมองกระจัดกระจาย

คงเป็นวิธีบอกรักที่ดีที่สุดกับสมองที่คิดสารพัดเรื่องของตาลุงนั่น

โกวเล้งก็กินเหล้าจนตาย

เราจะตายแบบไหนได้บ้างนะ

อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น

แล้วกระเถิบความตายออกไปอีกนิด

ไม่ต้องรีบหรอก กับของที่ยังไงก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว

ไม่ต้องรีบเลย

“ผู้คนจากไป เป็นธรรมดา

แต่วิธีการจากลา

ยังคงอยู่ไม่รู้ลืม”*

“ปานหยาดน้ำผึ้ง” (milk and honey) เขียนโดย Rupi Kaur แปลโดย พลากร เจียมธีระนาถ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดย Her Publishing, ตุลาคม 2561

*ข้อความจากในหนังสือ