ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
“ความรักนั้นเป็นเรื่องของจังหวะเวลา การพบเจอคนที่ใช่ในช่วงเวลาที่เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ล้วนนำมาซึ่งจุดจบอันร้าวรานอยู่เสมอ”
หว่อง คาร์ ไว – Wong Kar-Wai
เมื่อใดก็ตามที่เราคิดถึงความร้าวรานของความรักที่ปรากฏบนภาพยนตร์ ชื่อของผู้กำกับฯ ชาวไต้หวัน (ซึ่งแทบจะกลายเป็นผู้กำกับฯ ชาวฮ่องกงไปแล้ว) นาม หว่อง คาร์ ไว จะถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอ
ภาพยนตร์แห่งความร้าวรานของเขาไม่ว่าจะเป็น In the Mood for Love (ที่ใครต่อใครล้วนจดจำฉากจบของตัวเอกที่นครวัดได้ติดตา) Chungking Express (ตำรวจหนุ่มกับสับปะรดกระป๋องที่รอวันหมดอายุ) Days of Being Wild (โปรดจำนาทีนี้ไว้) Fallen Angels (ชายหูหนวกที่ชอบแอบใช้ร้านค้าของผู้อื่น) Happy Together (ความขัดแย้งแห่งความรักในเพศเดียวกัน) และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง
มีผู้กำกับภาพยนตร์จำนวนมากที่พูดถึงความรักในงานของตนเอง
แต่ผู้กำกับฯ ที่พูดถึงความรักและความโดดเดี่ยวน่าจะมีจำนวนน้อยนักและหนึ่งในจำนวนน้อยที่ว่านั้นคือ หว่อง คาร์ ไว
สาเหตุที่หว่อง คาร์ ไว ถูกจดจำเหนือผู้กำกับฯ อื่นใดคือการที่เขาสร้างความงดงามให้แก่ความร้าวรานของความรัก
ภาพแต่ละภาพในภาพยนตร์ของเขาให้ความรู้สึกติดตาตรึงใจไม่ต่างจากโปสการ์ดที่ระลึกจากดินแดนแห่งความพังพินาศ
ความพังพินาศที่เราพบว่าแค่เพียงการไปเยือนครั้งเดียวในชีวิตก็เกินพอแล้ว
ความโดดเดี่ยว ความร้าวราน อันเกิดจากความรักเป็นสิ่งที่น่าจดจำมากกว่าความสมหวังกระนั้นหรือ
นี่คือคำถามที่น่าสนใจ
ดังที่กล่าวมาแล้ว หากโรมิโอและจูเลียตได้ครองรักกันอย่างผาสุก เรื่องราวของพวกเขาจะมีอะไรควรค่าแก่การอ่านอีกเล่า
หากขวัญและเรียมมีครอบครัวและลูกที่เป็นพลเมืองเข้มแข็งของการสร้างชาติในยุคนั้น คำสาบานที่ศาลเจ้าพ่อต้นไทรจะมีอะไรน่าจดจำ
เราทุกคนล้วนเคยผิดหวังกับความรัก หนึ่งครั้ง สองครั้ง และอีกหลายครั้ง และเราพึงใจที่จะจดจำความผิดหวังเหล่านั้นแม้จะไม่เอ่ยถึงมันตรงๆ ในวันที่เราสมหวังก็ตามที
ผู้คนสะสมสิ่งที่เรียกว่าความผิดหวังไว้อย่างลึกๆ
ในซาเกรบ โครเอเชีย และในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มีพิพิธภัณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่พังภินท์หรือ Museum of Broken Relationships ตั้งอยู่
พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้เก็บรวบรวมสิ่งของที่ได้มาจากคู่รักที่เลิกรากัน
ผู้ก่อตั้งอันได้แก่ โอลิงก้า วิสติก้า (Olinka Vi?tica) และ ดราเซน กรูบิสิก (Dra?en Grubi?i?)
เริ่มการก่อตั้งด้วยการขอรับบริจาคสิ่งของที่หลงเหลือจากความสัมพันธ์และคนรักเก่า
พวกเขาได้รับสิ่งของที่อัศจรรย์และไม่คาดคิดจำนวนมาก และจากทุนที่เขาได้รับทำให้พิพิธภัณฑ์นี้เป็นรูปร่างในปี 2011 ก่อนที่มันจะขยายสาขาไปยังลอสแองเจลิสในปี 2016 เมื่อผู้ชมคนหนึ่งติดต่อขอทำสาขาเพิ่มที่นั่น
สิ่งที่น่าสนใจคือ Museum of Broken Relationships ในลอสแองเจลิสได้ทำการนำเสนอบทสัมภาษณ์ของคู่รักจำนวนมากที่จบลงด้วยความผิดหวังและนำเสนอผ่านคลิปวิดีโอ
ในคลิบวิดีโอหนึ่ง หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของเธอ แรกเริ่มเธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่งในขณะที่คนรักของเธอทำงานในครัว
วันหนึ่งเขาขอให้เธอไปชมภาพยนตร์เป็นเพื่อนเขา
ทั้งคู่พึงใจซึ่งกันและกันก่อนจะย้ายมาพำนักอยู่ด้วยกันในฐานะคู่รัก
เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยดีแม้ว่าจะมีความขาดแคลนในหลายสิ่งด้านปัจจัยและเงื่อนไขทางเงินทอง
ทว่าเมื่อคู่รักของเธอตกงานและเขาหันเหมาสู่การดื่มอย่างหนักเพื่อให้คลายความกลัดกลุ้มใจลง ทว่าความกลัดกลุ้มใจไม่ได้หายไหน เขาเริ่มทำร้ายตนเองด้วยการกรีดแขนและข้อมือจนในที่สุดเธอเองก็ทำเช่นนั้นด้วยเพื่อเป็นการบอกว่าเธอพร้อมจะเจ็บปวดไปพร้อมกับเขา
แต่การเยียวยานี้ไม่ได้ผล เขาหมกมุ่นกับเธอมากขึ้น หลอกหลอนตนเองว่าเธอกำลังจะทิ้งเขาไป
ในที่สุดเธอต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ เลิกใช้โซเชียลมีเดีย
และในที่สุดเธอก็ต้องตัดสินใจจากเขาไปจริงๆ
ผมชมคลิปวิดีโอนี้ หนึ่งนาที สองนาที สามนาที ห้านาที เรื่องราวจบลงแบบที่เราคุ้นเคย ใครคนหนึ่งในความสัมพันธ์กลายเป็นมนุษย์ผู้ชำรุด เขาต้องการการซ่อมแซม
แต่การซ่อมแซมจากคนรักทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง
มันฉุดดึงอีกฝ่ายจนถึงจุดที่ต้องมีใครเดินจากไป
และหลังกาลเวลาผ่านไป พวกเขาเริ่มต้นทบทวนเรื่องราวอีกครั้งก่อนจะพบว่าต่างคนต่างมีส่วนผิด แต่นั่นเอง กาลเวลาเดินหน้าไป ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว ทุกอย่างสายจนเกินการณ์
เวลาดูจะเป็นตัวแปรที่สำคัญในความรักโดยที่เราแทบไม่เคยพิจารณามันตรงๆ ในช่วงที่คู่รักทั้งหลายต่างคนต่างยากลำบาก พวกเขาใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ดีและอุดมสมบูรณ์ แต่แล้วก็มีใครคนใดคนหนึ่งไม่อาจทานทนความทุกข์ยากเช่นนั้นได้ เธอหรือเขาเดินจากไป
อีกฝ่ายใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันสร้างตนจนสำเร็จ ชีวิตเต็มไปด้วยความเพียบพร้อมอีกครั้ง ทั้งคู่เดินสวนกันในลานจอดรถ ในห้างสรรพสินค้า
ต่างฝ่ายต่างอยู่ในสภาวะที่ปลอดโปร่ง แต่พวกเขาได้แต่มองตากัน
การหันหลังกลับมาเคียงคู่กันไม่มีขึ้นอีกแล้ว