วิเคราะห์ : ‘ยิ่งลักษณ์’ โชว์สปิริต ลูกผู้หญิง อกสามศอก ให้อภัย ‘3 เกลอ’ ปชป. ถอนคดี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์

ในประเทศ

 

‘ยิ่งลักษณ์’ โชว์สปิริต

ลูกผู้หญิง อกสามศอก

ให้อภัย ‘3 เกลอ’ ปชป.

ถอนคดี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์

 

คดี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ คือบทเรียนราคาแพงสำหรับ “3 เกลอ สายล่อฟ้า” แห่งพรรคประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกันก็ยกระดับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ “หญิง” ให้สูงขึ้นอีกขั้น

คดีดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ยื่นฟ้องร้องต่อศาล ให้นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต นายศิริโชค โสภา และนายเทพไท เสนพงศ์ เป็นจำเลย 1-3

ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ด้วยวิธีการโฆษณาด้วยการดำเนินรายการ “สายล่อฟ้า” ออกอากาศทางทีวีดาวเทียมช่อง “บลูสกาย” ในขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ปรับคนละ 50,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี

แต่ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฎีกาว่า เนื่องจากคดีมีการหมิ่นประมาทร้ายแรง ใช้เรื่องเพศมาเป็นประเด็น จึงขอให้ศาลพิพากษาจำคุกทันที ไม่รอลงอาญา โดยศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 19 ตุลาคมนี้

ก่อนถึงวันพิพากษา ระหว่างนั้นนายชวนนท์ นายศิริโชค และนายเทพไท ติดต่อประสานผ่านนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เมตตาและให้อภัยบุคคลทั้ง 3

แลกกับการโพสต์ข้อความสำนึกผิดและขอโทษต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อรับรู้ว่าจำเลยทั้ง 3 ต้องการแสดงความสำนึกผิด ก็ยินดีและพร้อมให้อภัย

มอบหมายให้ทีมทนายความไปเจรจากับจำเลยทั้ง 3 โดยนัดหมายทำข้อตกลงในวันที่ 8 ตุลาคม เพื่อถอนคำฟ้องฎีกาจำเลยในคดีดังกล่าว

 

ไม่ทันถึงวันเจรจา ปรากฏว่าวันที่ 5 ตุลาคม นายศิริโชค โสภา ชิงโพสต์จดหมายเปิดผนึกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว สรุปเนื้อหาใจความว่า

ตามที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องข้าพเจ้าทั้ง 3 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญา

ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยวิธีการโฆษณา ด้วยการดำเนินรายการสายล่อฟ้าทางสถานีโทรทัศน์ช่องบลูสกาย

กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ แต่ข้าพเจ้ากับพวกดังกล่าว ได้จัดรายการ โดยนำป้ายที่ใช้แขวนหน้าห้องพักโรงแรม ปรากฏข้อความว่า “เอาอยู่” มานำเสนอในรายการ

ข้อความและการกระทำดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 50,000 บาท

ขณะนี้ข้าพเจ้ากับพวกได้ฎีกาคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง และศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 ตุลาคม 2561

ข้าพเจ้ากับพวกรวม 3 คน เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า ข้อความและการกระทำของพวกข้าพเจ้าเป็นการหมิ่นประมาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ในขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ และในฐานะส่วนตัวจริง

ข้อความและป้ายที่นำมาประกอบนั้นไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

บัดนี้ ข้าพเจ้ากับพวกรวม 3 คน สำนึกผิดแล้วและขออภัยต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้ให้อภัยและยื่นคำร้องขอถอนฎีกาให้ข้าพเจ้ากับพวก ทำให้หลุดพ้นจากคดีนี้

ข้าพเจ้ากับพวกทั้ง 3 คน ขอขอบคุณและถือโอกาสนี้แจ้งข่าวให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป

การโพสต์ข้อความดังกล่าวของนายศิริโชค ในตอนแรกทำให้แฟนคลับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคนในสังคมรู้สึกชื่นชม เพราะเป็นการแสดงสปิริต กล้ายอมรับผิดและขอโทษ ตามวิสัยลูกผู้ชายทั่วไป

แต่แล้วสิ่งที่ทำให้สังคมรู้สึกดี ก็ต้องมีอันเป็นไปในระยะเวลาสั้นๆ

 

หลังจากโพสต์ข้อความแรกไม่กี่ชั่วโมง

นายศิริโชค โสภา ก็ตyดสินใจลบข้อความทั้งหมดจากเฟซบุ๊ก อ้างว่าเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวใช้ดูข่าว ติดต่อเพื่อน ไม่ได้ใช้เป็นพื้นที่โพสต์ประเด็นการเมืองหรืออื่นๆ

ตรงนี้เองเป็นความผิดพลาดซ้ำ

ไม่เพียงอดีต ส.ส. แกนนำพรรคเพื่อไทย และคนใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่พอใจ สังคมทั้งนอกและในโซเชียลต่างพากันรุมวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาดเสียเทเสีย

ส่วนใหญ่เห็นไปในทางเดียวกันว่า ข้อความที่โพสต์ตอนแรกนั้นเป็นการขอโทษแบบเสียไม่ได้ เพียงต้องการให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถอนคำฟ้องฎีกาเท่านั้น ไม่ได้สำนึกผิดด้วยความจริงใจ

กระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นแรงกดดัน

ทำให้วันที่ 6 ตุลาคม นายศิริโชคต้องนำจดหมายขอโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กอีกครั้ง พร้อมระบุ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จะโพสต์ทิ้งไว้ 7 วัน

อย่างไรก็ตาม การโพสต์ข้อความแล้วลบออก ก่อนนำกลับมาโพสต์ซ้ำ คนใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่าเป็นการ ‘ทึกทัก’ ของนายศิริโชคและพวกฝ่ายเดียว ไม่ใช่ข้อตกลงที่ผ่านการเจรจากับทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

โดยการเจรจาเกิดขึ้นจริงเป็นทางการที่โรงแรมเอสซีปาร์ค วันที่ 8 ตุลาคม ระหว่างทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับจำเลยทั้ง 3 ที่เดินทางมาพร้อมหน้า

ทั้ง 3 คนยอมรับเงื่อนไขทุกอย่างตามที่ระบุในเอกสาร โดยกล่าวว่า จะอย่างไรก็ได้ ขอเพียงฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์สบายใจก็พอ

การเจรจาข้อตกลง จบตรงที่ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการให้ฝ่ายจำเลยคงข้อความขอโทษผ่านเฟซบุ๊กของนายศิริโชคไว้จนกว่าจะพ้นกำหนดวันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา

ในวันเดียวกันนั้น ทีมทนายความจะยื่นร้องต่อศาลเพื่อขอถอนฎีกาจำเลย หากศาลพิจารณามีคำสั่งให้ถอนฎีกาได้ คดีความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาทจะถือเป็นที่ยุติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39(2)

 

ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า

คดีดังกล่าวเมื่อศาลตัดสินว่าจำเลยมีความผิดจริง แล้วจำเลยขอโทษด้วยความสำนึกผิด พร้อมขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้อภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็พร้อมให้อภัย

เนื่องจากไม่ปรารถนาเห็นครอบครัวจำเลยทั้ง 3 ต้องเผชิญความทุกข์ ดังที่ได้เห็นจากกรณีนักโทษทางการเมืองหลายคนได้รับก่อนหน้านี้ แม้แต่ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์และครอบครัวก็ได้รับผลกระทบ และได้รับความทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวด้วยเหตุทางการเมือง

จะด้วยสำนึกผิดอย่างจริงใจหรือไม่ ไม่มีใครรู้

ด้านหนึ่งมีการวิเคราะห์สาเหตุ 3 เกลอสายล่อฟ้าต้องยอม “เสียฟอร์ม” ซ้ำซาก

เพราะหากในวันที่ 19 ตุลาคม ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ทั้ง “ชวนนท์-ศิริโชค-เทพไท” จะไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ได้

เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดลักษณะ “ต้องห้าม” ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. คือ

การต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาล และเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมาไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ

การถอนฎีกาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งผลให้นายศิริโชค นายเทพไท และนายชวนนท์ ไม่เพียงรอดโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาท ยังรอดจากการถูก “ประหารชีวิต” ทางการเมือง

เมื่อเทียบกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคต้นสังกัดของ 3 เกลอ สายล่อฟ้าถึง 2 คดี จนต้องเว้นวรรคการเมืองอย่างน้อย 10 ปี ถือว่ากรณี 3 เกลอ โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์

ท่ามกลางบรรยากาศการเมือง ที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต่างต่อสู้แข่งขันกันดุเดือดมาตลอด น.ส.ยิ่งลักษณ์เองในอดีตก็ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำทางการเมืองต่อเนื่อง แต่ยังมีจิตใจเมตตา ให้อภัยแม้กับนักการเมืองพรรคคู่แข่ง

ในภาพใหญ่กว่า การให้อภัยของอดีตนายกฯ หญิง ยังเป็นตัวอย่างให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้ฉุกคิด จะร่วมมือร่วมใจนำพาประเทศให้หลุดจากกับดักความขัดแย้งได้อย่างไร

โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง