เสียงของ “โอมาโรซา” เปลี่ยน “ทรัมป์-ทำเนียบขาว” เป็นเรียลลิตี้โชว์

หากมองการเมืองสหรัฐในเวลานี้ อาจมีหลายประเด็นที่เป็นเรื่องหนักๆ ทั้งการผ่านงบฯ กลาโหมมูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศอย่างความตึงเครียดกับอิหร่าน

การปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

หรือแม้กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจโลกอย่างการเปิดสงครามการค้ากับจีน

ซึ่งเป็นงานที่น่าจะสร้างความปวดหัวให้กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐได้ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนปัญหาใหม่ที่ผู้สังเกตการณ์การเมืองสหรัฐมองว่าเป็นเรื่อง “บันเทิง” ที่อาจสร้างความอับอายให้กับประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อมีการ “แฉ” คลิปเสียงสนทนาของ “ทรัมป์” ออกมาอีกครั้งก่อตัวเป็นสงครามน้ำลายแก้ต่างที่มีกลิ่นอายของรายการทีวีเรียลลิตี้โชว์ ที่มี “ทำเนียบขาว” เป็นฉากหลัง

ตัวละครหลักคือ “โอมาโรซา มานิกอลต์ นิวแมน” เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร สำนักงานประชาสัมพันธ์ทำเนียบขาว ผู้ที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

และเตรียมจะวางขายผลงานหนังสือของตัวเองที่มีชื่อว่า “อันฮินจ์” เล่าเรื่องราวช่วงเวลาที่เธอเป็นหนึ่งในผู้อยู่ใกล้ชิดประธานาธิบดีสหรัฐมากที่สุด

 

“โอมาโรซา” เป็นชาวอเมริกันผิวสีผู้ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการเรียลลิตี้โชว์ “ดิ แอพเพรนทิซ” ของทรัมป์ ก้าวเข้ามาเป็นผู้ช่วยใกล้ชิดทรัมป์ระหว่างการหาเสียง ก่อนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร สำนักงานประชาสัมพันธ์ทำเนียบขาว รับค่าจ้างต่อปีมากถึง 180,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 6 ล้านบาท

นั่นทำให้การทะเลาะเบาะแว้งล่าสุดสะท้อนภาพโอมาโรซาและ “บอส” อย่างทรัมป์ จากรายการทีวีชื่อดังอย่างไม่น่าเชื่อ

โอมาโรซาเผยแพร่ข้อมูลโจมตีทรัมป์ผ่านหนังสือที่ระบุว่า ทรัมป์เคยใช้คำ “เอ็น-เวิร์ด” หรือคำย่อที่หมายถึงคำหมิ่นคนผิวสีระหว่างการถ่ายทำรายการ “ดิ แอพเพรนทิซ”

ทรัมป์ทวีตข้อความตอบโต้อย่างร้อนแรงในทันที ระบุว่าตนได้คุยกับโปรดิวเซอร์ของรายการ “ดิ แอพเพรนทิซ” แล้ว

“มันไม่มีเทปไหนของดิ แอพเพรนทิซที่ผมใช้คำแย่ๆ และน่าขยะแขยงที่คนพิลึกป่วยจิตโอมาโรซากล่าวอ้าง”

เรื่องราวถูกกระพือขึ้นในรอบหลายวันที่ผ่านมาหลังจากโอมาโรซาให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างเธอกับจอห์น เคลลี่ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวที่โอมาโรซาระบุว่าเป็นการข่มขู่ให้เธอลาออก

“ในความคิดผม มันเป็นเรื่องความเป็นเอกภาพอันเกี่ยวกับตัวคุณ หากคุณจากไปแบบเป็นมิตร คุณสามารถไปได้แบบไม่มีความยุ่งยากใดๆ ในอนาคตอันเกี่ยวกับชื่อเสียงของคุณ” เคลลี่ระบุในคลิปสนทนาที่โอมาโรซาระบุว่าถูกอัดในห้องยุทธการ ห้องที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาของทำเนียบขาว

โดยเธอมองว่าข้อความดังกล่าวเป็นการข่มขู่ให้เธอลาออก

นอกจากนี้ โอมาโรซายังเปิดเผยเสียงสนทนาระหว่างเธอกับทรัมป์ ที่ทรัมป์แสดงความประหลาดใจที่โอมาโรซาถูกไล่ออกจากตำแหน่งซึ่งทรัมป์ระบุว่าตนไม่รู้เรื่องดังกล่าวมาก่อน

 

แน่นอนว่าทรัมป์ตอบโต้ด้วยทวีตอย่างดุเดือด เริ่มตั้งแต่การแสดงความเกรี้ยวกราดระบุว่า “โอมาโรซาคนพิลึกที่ถูกไล่ออก 3 ครั้งในดิ แอพเพรนทิซ ถึงตอนนี้ถูกไล่ออกเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่ควรทำ ไม่ควรจะทำเลย”

ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันยังระบุด้วยว่า โอมาโรซาผู้ “ชั่วร้าย” และ “ไม่ฉลาด” ร้องขอให้ตนรับเข้าทำงาน และเปิดเผยด้วยว่า โอมาโรซา “ได้ลงนามในข้อตกลงไม่เปิดเผยเรื่องราวใดๆ อย่างเต็มใจ!” และนั่นนับเป็นการยอมรับเป็นครั้งแรกว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารได้รับการร้องขอให้ลงนามในข้อตกลงให้ปิดปากเงียบ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายความมั่นคงระบุว่ารัฐบาลอาจกำลังเป็นฝ่ายละเมิดกฎหมายเสียเอง

ทรัมป์ยังตอบโต้กลับอย่างรุนแรงหลังจากโอมาโรซาระบุว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับ “โรเบิร์ต มุลเลอร์” อัยการพิเศษสหรัฐที่ทำหน้าที่สืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่า “รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 หรือไม่” ด้วย หากได้รับการร้องขอ

“เมื่อคุณให้โอกาสคนบ้า พวกเลวที่กำลังร้องไห้ และให้งานที่ทำเนียบขาวทำ มันไม่เป็นผลหรอก ทำดีมากเคลลี่ ที่ไล่สุนัขตัวนี้ออกไป” ทรัมป์ระบุในทวีต

 

กรณี “โอมาโรซา” ถูกมองด้วยว่าเป็นการสะท้อนการขาดความหลากหลายในหมู่ผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องจากเธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดในฝ่ายบริหาร โดยโอมาโรซาระบุแบบแบ่งเขาแบ่งเราว่า ต่อไปนี้รัฐบาลจะ “ตัดสินใจเกี่ยวกับเราโดยที่ไม่มีเราอยู่ด้วย” พร้อมทั้งระบุว่า มันน่าเสียใจกับประเทศที่ประธานาธิบดีผู้ที่ไม่รู้วิธีการควบคุมตัวเอง เสียเวลามาโจมตีสติปัญญาของตน

ดราม่าในโลกจริงครั้งนี้ยังไม่จบแน่นอน เมื่ออดีตผู้ช่วยทรัมป์รายนี้ระบุว่ายังมีคลิปเสียงที่พร้อมจะเปิดเผยออกมาอีกมาก

“มีเรื่องทุจริตหลายอย่างเกิดขึ้นในทำเนียบขาว และฉันจะเดินหน้าเปิดเผยเรื่องเหล่านั้น” โอมาโรซาระบุ