ทวีปที่สาบสูญ : แผลเป็นบนหน้าของฉัน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน… ฉันยินคำพูด

เหมือนมาพิสูจน์บงสิ่งในใจ

“เดี๋ยวอามานะ” ผู้หญิงร่างใหญ่เหลียวมาสั่งความ ตบเบาๆ ที่หัวของนางฟ้า “ฝากดูนั่นด้วย”

บุ้ยใบ้มาทางฉัน

“ดื้อมาก ระวังอย่าให้อยู่คนเดียวล่ะ”

แล้วก้มกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู ระรินเบิกตา มองมายังฉัน

“กินข้าวกันไปเลยนะ ไม่ต้องรอ”

พูดจบก็กวักมือเรียกคนงานที่รออยู่ พอรถเครื่องจอดเทียบก็ก้าวขึ้นคร่อมซ้อนท้าย เพียงครู่เดียวก็หายลับออกประตูไป

นางฟ้ายังยืนที่กลางข่วงบ้าน มองฉันที่อยู่ใต้ถุนยุ้งข้าว ฉันเองก็สบตากับนางฟ้า

ความรู้สึกมากมายยังหลากไหลอยู่ไม่เลิกรา ถึงแม้เวลาจะผ่านมาแล้วหลายต่อหลายวัน

แม้ฉันเองปราศจากเส้นผมแม้แต่เส้นเดียวแล้ว

“หิวหรือยัง”

ระรินเดินเข้ามาใกล้ มีรอยยิ้มจางๆ เกลื้ออยู่ในหน้า

ฉันเสียอีกกลับรู้สึกประหม่า ปากคอแห้งลงชั่วฉับพลัน

“…ยังค่ะ”

“ไม่ร้อนหรือ คลุมหัวแบบนั้น” นางฟ้าถาม

ฉันรีบส่ายหน้า “…ไม่”

เด็กสาวหัวเราะ กระตุกมือหนหนึ่ง ดึงเอาผ้าขาวม้าออกไป

“ไม่เห็นต้องโพกเลย หัวเธอสวยดีออก”

ฉันทำตัวไม่ถูก ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ยอมให้ทำแบบนี้ง่ายๆ แต่พอเป็นนางฟ้า นับตั้งแต่เธอย่างกลับเข้ามาและอยู่ร่วมในบ้านหลังนี้ ฉันมีแต่จะเชื่อฟังเท่านั้น

เราอยู่ด้วยกันมาแล้วหลายวัน แต่จะไปเยี่ยมนางปันที่โรงพยาบาลทีละคน ไม่ไปพร้อมกัน อามินพูดตลอดว่า ไม่อยากให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่งเกี่ยว เราต่างรู้ดีว่าหมายถึงใคร

แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ ระรินเองไม่กลับไปที่บ้านตัวเองเลย วันแล้ววันเล่า ถ้าไม่ไปหานางปันก็จะขลุกอยู่แต่ในสวน

และดูเหมือนว่า อามินจะสั่งให้ทุกๆ คนปิดปากเงียบเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่านางปันไม่สบาย ไม่มีใครรู้ว่าระรินอยู่ที่นี่

เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ ว่าตัวฉันก็อยู่ในสวนแห่งนี้ด้วย

“แล้วเดี๋ยวจะทำอะไร”

ฉันส่ายหน้าอีก ในทุกๆ วัน ยังไม่มีอะไรให้ฉันทำเป็นชิ้นเป็นอัน พอจะหยิบจับอะไร อามินก็คอยแต่จะห้ามไว้ บอกว่าถ้าหายดีค่อยว่ากัน

แต่ฉันก็คิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว บาดแผลและความฟกช้ำค่อยๆ ตกสะเก็ด ความเจ็บปวดเบาบางลงไปเรื่อยๆ

“งั้นไปนั่งเล่นทางโน้นกันมั้ย” นางฟ้าเอ่ยขึ้น

“…ได้ค่ะ”

เส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในสวน มีแสงแดดลอดลงมาเป็นช่วงๆ ต้นไม้หลายต้นสูงใหญ่ ใบดกหนา กิ่งก้านแผ่ไกล สวนของอามินกับนางปันคงเป็นเนื้อที่หลายไร่ ยิ่งเดินลึกเข้าไป ห่างจากหมู่คนงานเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกหายใจได้เต็มปอดมากขึ้นเท่านั้น

…หรือจะเพราะฉันมากับเด็กสาวที่เดินอยู่ข้างหน้า แผ่นหลังที่มองเห็น เส้นผมถักเปียเคลียไหล่ เอวคอดกับสะโพกที่เป็นเส้นโค้งสวยงาม

ระรินสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าจางพับแขน กางเกงยีนส์ด้ายลุ่ยๆ ดูเหมือนเธอจะชอบสีฟ้า แม้ไม่มีเครื่องประดับในตัวสักชิ้น ยังรู้สึกว่าเหมือนมีรัศมีเปล่งประกายออกมารอบตัว

“เดี๋ยวเราไปตรงนั้น”

ระรินชี้มือไปยังปลายไผ่ที่ไหวยอดอยู่เบาๆ

เดินไปอีกพักหนึ่ง เด็กสาวก็หยุดเท้า แล้วฉันก็แทบนิ่งงันกับภาพเบื้องหน้า มีสายน้ำไหลรินขนานไปกับตลิ่งฝั่ง มีต้นมะเฟือง มะไฟ มะพร้าวยืนต้นโอนเอน กับสูงชะลูดกอไผ่ เป็นภาพเกือบละม้ายบรรยากาศที่บ้านเดิม

ฉันรู้ดี ก็แค่สวนกว้างที่มีต้นไม้คล้ายกัน แต่อาจเป็นกลิ่น…กลิ่นที่นานแล้วเคยแต่จดจำอยู่ในความฝัน

กลิ่นน้ำ กลิ่นต้นไม้ กลิ่นของใบไม้ที่ทับถมข้างตลิ่ง

ทุกสิ่งอันตรงหน้า

ชะลอเอาความทรงจำเก่าๆ กลับมาจนบาดลึกเงียบเชียบข้างใน

“มาสิ” นางฟ้ายื่นมือมา

โดยปราศจากความคิด ฉันทำตาม

ระรินดึงฉันให้ลงตลิ่งไปเต็มแรง

“โอ้ย!” ฉันร้อง พยายามตั้งหลัก กลับไถลพรวดลงไป

ขาลื่นลงพื้น มองเห็นสายน้ำระริกรินอยู่ข้างหน้า แต่แล้วก็ถูกอีกมือคว้าแขนไว้ ดึงอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกครั้ง ฉันก็ก้นจ้ำเบ้าบนพื้น หากระรินนั่งบนขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง อยู่ข้างๆ

“ตกใจหรือ” ระรินถาม เปิดยิ้มสว่างใส

“นิดหน่อย” ฉันได้แต่ตอบไป “นึกว่าจะตกน้ำแล้ว”

“ไม่ตกหรอก ตรงนี้มีดินงอก เห็นมั้ย พูนมาจนตั้งเต็นท์นอนก็ยังได้ ดูจากข้างบนหรอกจะคิดว่าชัน…แต่มันก็ชันจริงๆ นะแหละ ขยับขึ้นมาสิ”

เหลียวหลังมองขึ้นไป จริงดังระรินว่า ถ้าไม่มีใครยืนชะโงกส่องลงมา ก็คงไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างล่างนี้

“ที่พิเศษของเรา” เด็กสาวพูดต่ออีก “ตอนเด็กๆ ชอบหลบมาอยู่ตรงนี้ มีแต่อามินคนเดียวละจะหาเจอ”

“…อ้าว คุณเคยอยู่ที่นี่ด้วยหรือ” เป็นความประหลาดใจ “…ตกลงคุณเป็นญาติกันหรือ”

“เปล่าหรอก อามินเขาเคยทำงานที่บ้านโน้น…บ้านพ่อน่ะ เลยสนิทกัน พอยายย้ายมาอยู่ที่นี่ อามินเขาก็แอบชวนพามาเที่ยว เราเลยได้มาบ่อยๆ”

“แต่ดูคุณสนิทกันมากนะ” ฉันพูดไปตามที่รู้สึก

“สนิทสิ…” ระรินพยักหน้า “อามินน่ะใจดีมาก ยายปันดุหน่อย แต่ใจจริงไม่มีอะไร ดูแลเราดีกว่าพ่อเสียอีก”

ข้อนั้นฉันไม่กังขาเลย แม้แต่กับฉัน เจ้าของบ้านทั้งสองก็ยังให้ความเมตตาปรานี

แต่ยังมีอีกสิ่งที่ฉันสงสัย

“…เอ้อ ทำไมต้องเรียก…พี่ปัน…ว่ายายล่ะ…ไม่เห็นจะแก่สักหน่อย”

“ไม่รู้ซี…อามินเป็นคนสอนให้เรียกแบบนั้นมาตลอด ก็เลยชินมาจนถึงเดี๋ยวนี้”

มีแวบหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่า ตาของนางฟ้าแปรเปลี่ยน แต่ก็แค่เสี้ยวเวลาสั้นๆ

“จนบางทีก็คิดว่ายายปันเป็นญาติจริงๆ เลยนะ” นางฟ้าพูดอีก “จะเอาอะไรก็ตามใจทุกอย่าง แค่ต้องเก็บเป็นความลับเท่านั้นเอง ไม่ให้พ่อรู้ว่ามาที่นี่”

มีสายลมพัดมาเบาๆ ฉันได้กลิ่นดอกไม้อะไรสักอย่างลอยมากับลม สายน้ำเบื้องหน้าเราไหลไปเรื่อยๆ เอื่อยช้า ใบไม้จิ๋วร่วงลงมาจากเบื้องบน แหงนขึ้นดู มีแสงตะวันระยิบระยับ ราวกับโลกได้เปลี่ยนผันในชั่วเวลานาที

ไม่กี่วันมานี้เองที่ฉันอยากจะไปเสียให้พ้นจากโลกใบนี้

แต่ในเวลานี้ ฉันกลับอยากให้ห้วงเวลานี้คงอยู่เป็นนิรันดร์

“เจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”

นางฟ้าเหลียวมามอง ครู่ต่อมาก็ยื่นมือมาลูบเบาๆ บนหัวที่โล้นเตียนของฉัน

ในที่สุด วันต่อมา ฉันก็เป็นฝ่ายบอกให้อามินโกนผมให้ แม้ในนาทีที่ได้ส่องกระจก เหมือนได้พบใครคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

มีแผลเป็นเล็กๆ เกิดขึ้นอีกแห่งบนโหนกคิ้วของฉัน และยังเชื่อมต่อกันกับบางแผลเก่า เหมือนเสี้ยวขีดของดินสอสีขาวที่ฝังลงในเนื้อ

ใบหน้านั้นดูแปลกตา

ต่างหูยังคงหายไป และฉันก็ใส่เพียงข้างเดียว

มีเม็ดสิวขึ้นที่โหนกแก้ม หากยุบหายไปบ้าง ฟันหน้าของฉันแตกบิ่น ที่คางยังมีรอยช้ำจางๆ

นั่นคือตัวฉัน?

– นั่นหรือตัวกู

– ใช่ นั่นคือตัวมึง อีพี่

“เดี๋ยวผมก็ขึ้นแหละ ไม่ต้องห่วงนะ”

นางฟ้าพูดเบาๆ ฟังเป็นถ้อยคำที่อ่อนโยนเหลือเกิน

“…พ่อไม่น่าทำเธอขนาดนี้เลย”

ฉันยังจำทุกสิ่งที่ชายคนนั้นทำกับฉันได้ ความหยาบกร้านและโหดร้าย ความเจ็บ…ที่จนคิดว่าเมื่อไหร่จะสิ้นลมหายใจได้เสียที ยังฝังตรึงให้ฝันร้าย

หลายต่อหลายคืนที่ฉันยังหลับไม่ได้ คอยแต่จะผวามาตื่น

ก่อนหน้าที่นางฟ้าจะกลับมา ยามคิดถึงพงหนวดรกครึ้มกับความเมามายของชายคนนั้น ฉันคิดแต่อยากจะไปให้พ้น

สิ่งเดียวที่อยากได้คือความตาย

แต่แล้ว…นางฟ้าก็ปรากฏตัวอีกครั้ง เมื่อเธอหวนกลับมา บางสิ่งที่โศกเศร้าอยู่ในดวงใจของเธอ ฉันสัมผัสถึงมันได้ และอาจเป็นสายใยบางๆ ที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกประหลาดบ้าง

ฉันเองก็อยากจะปลอบโยนเธอได้

“…เสียใจด้วยนะ กับ…หมาของคุณตัวนั้น” ฉันตัดสินใจพูด

คำที่อยากพูดตั้งแต่วันแรกเจออีกครั้ง

เพราะไม่รู้ว่าจะมีคำไหน ควรพูดกับเธอได้ดีกว่านั้น

นางฟ้าหันมามองหน้า และมองตาฉันนิ่งๆ

ในตอนแรกฉันอดน้อยใจไม่ได้ เมื่อเธอถามว่า…ฉันยังอยู่อีกหรือ แต่เมื่อหลายวันผ่านไป เธอก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นอีก

“…ขอบคุณนะ”

ฉันไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่เบือนหน้าไปดูแม่น้ำ นางฟ้าก็เช่นกัน จากนั้นเราต่างพากันนั่งนิ่งๆ จ้องดูสายน้ำที่ไหลไป โลกหวนกลับมาสงบเงียบเชียบ จนแทบเหมือนอยู่ในความฝัน

ไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่ฉันยิ่งได้กลิ่นดอกไม้ที่หอมแรงชัดขึ้น กลิ่นของทุกสิ่งในสวน แม้กระทั่งละอองบางเบาของระคายใบไม้แห้ง

จนกระทั่งรู้สึกว่านางฟ้าขยับตัว เมื่อยินเสียงการเคลื่อนไหว ฉันอดใจหายไม่ได้ว่าเวลาอันสงบสุขนี้กำลังจะสิ้นสุดลง

“พี่…”

“?” นางฟ้าเหลียวมามอง

“ขอบคุณพี่ด้วยนะ…ที่ช่วยฉันไว้…ทุกครั้ง”

ทำไมนางฟ้าถึงมีดวงตาแสนสวยขนาดนี้ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก เมื่อความงามเหล่านั้นเผยโฉมต่อหน้า

นางฟ้าระรินยิ้มให้ฉัน

“ฉันก็เคยลำบาก แล้วมีคนช่วยเอาไว้เหมือนกัน” ปลายนิ้วนางฟ้ายื่นมาแตะที่แผลเป็นบนหน้าของฉันเบาๆ “การที่คนเราช่วยเหลือกันมันดีมากๆ นะ…ถ้าฉันมีกำลังพอ ก็อยากจะช่วยเธอให้ได้มากกว่านี้”