ภารกิจพิทักษ์ประตูแห่งข่าวสาร

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

เหตุการณ์ทีมฟุตบอลติดถ้ำจบลงท่ามกลางเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของคนทั่วโลกที่สามารถช่วยทั้งสิบสามชีวิตออกมาได้

แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่นานนัก แต่สังคมได้เรียนรู้อะไรมากมาย

เราได้รู้หลักการทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์เมื่อขาดอาหาร

เราได้ฟังหลักการการดำน้ำภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย

เราได้เห็นลักษณะนิสัยใจคอของคนหลายคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้ว่าฯ นักสำรวจถ้ำ นักดำน้ำ แม้กระทั่งมหาเศรษฐีแห่งโลกเทคโนโลยีอย่างอีลอน มัสก์ ที่รีบกระโดดขึ้นเครื่องบินมาช่วย และอีกหลายต่อหลายอย่างภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

และหนึ่งในสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ การปะทะกันครั้งใหญ่ของสื่อบนโซเชียลมีเดียและสื่อดั้งเดิม

 

ท่ามกลางความวุ่นวายของการวางแผนช่วยชีวิตเด็กและโค้ชออกมา คือการถกเถียงกันระหว่างสื่อและผู้เสพสื่อสองฝ่าย

ฝ่ายแรกคือสื่อดั้งเดิม เช่น สำนักข่าวทีวี สิ่งพิมพ์ วิทยุ ซึ่งเป็นสื่อที่ประกอบกิจการสื่อตามกฎหมาย

ฝ่ายที่สองคือสื่อบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่มีเพจเฟซบุ๊ก หรือแอ็กเคาต์ทวิตเตอร์ และมีผู้ติดตามจำนวนมาก

ฝ่ายแรก มีทีมงานที่เดินทางไปลงพื้นที่ มีนักข่าว ช่างภาพ เจ้าหน้าที่ทางเทคนิค และคอยประสานงานกับทีมงานที่ประจำอยู่ที่สำนักงานเพื่อนำข่าวออกอากาศตามสล็อตเวลา

ฝ่ายที่สอง ติดตามรายงานจากช่องทางต่างๆ และนำมารายงานต่อบนโซเชียลมีเดียตัวเอง โดยที่อาจจะไม่ได้มีทีมลงพื้นที่จริง

การปะทะกันเกิดขึ้นเมื่อสื่อฝ่ายที่สองเริ่มออกโรงวิจารณ์สื่อฝ่ายที่หนึ่งที่ลงพื้นที่ว่าทำงานได้ไม่เป็นมืออาชีพ ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการกู้ภัยทำให้เกิดความเสี่ยง หรือหิวกระหายข่าวจนไม่สนใจจรรยาบรรณ

จนทำให้สื่อฝ่ายที่หนึ่งที่เริ่มอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาระบายความรู้สึกบ้างว่า มาเป็นคนหน้างานดูบ้างไหม ถ้าหากปราศจากนักข่าวแบบดั้งเดิมไปคอยติดตามข่าว ณ สถานที่จริง แล้วใครจะเป็นคนนำข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นมารายงานให้สื่อฝ่ายที่สองหยิบไปเขียนต่อเล่า

ฝ่ายสื่อบนโซเชียลก็ตอบกลับว่า แล้วไงใครแคร์! ไม่ลงพื้นที่ก็ไม่ต้องลง พวกเราไม่ต้องการพึ่งนักข่าวอยู่แล้ว

วันหลังให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุเขารายงานข่าวเอาก็ได้ สมัยนี้ใครๆ ก็มีโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น

วันนี้ก็เลยจะมาขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ และมาดูกันว่าเพราะอะไรเราจึงจำเป็นต้องมีช่องทางการรายงานข่าวแบบเดิม แม้ว่ายุคนี้โซเชียลมีเดียกับอินเตอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่มีใช้เหลือเฟือเหมือนน้ำและอากาศก็ตาม

 

ในต่างประเทศ การเกิดขึ้นของ fake news หรือข่าวปลอม ได้แพร่สะพัดและสร้างความเสียหายระดับใหญ่หลวงมาแล้ว ดังจะเห็นได้จากข่าวปลอมช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หรือประชามติเบร็กซิท (Brexit) ที่นำไปสู่การตัดสินใจถอนสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป

ทำให้ตอนนี้ประเทศอย่างสหรัฐหรืออังกฤษ ที่ต้องจ่ายราคาอันแสนแพงจากบทเรียนนี้มาแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้กับข่าวปลอมบนอินเตอร์เน็ตอย่างจริงจัง

บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนดั้งเดิมคือการเป็น “ผู้รักษาประตูข่าวสาร” หน้าที่คือต้องเป็นผู้แยกแยะว่าอะไรคือข่าว อะไรไม่ใช่ข่าว การรายงานข่าวของสื่อมวลชนดั้งเดิมไม่ใช่คนเพียงคนเดียว

แต่ในกรณีข่าวโทรทัศน์ กระบวนการประกอบไปด้วยนักข่าวที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมข่าวให้ลงพื้นที่ไปติดตามเรื่องใดเรื่องหนึ่งพร้อมช่างภาพ เมื่อเขียนข่าวเสร็จ ก็จะต้องส่งกลับไปให้บรรณาธิการข่าวตรวจและอนุมัติ

ไหนจะโปรดิวเซอร์ ตัดต่อ ทีมเซ็นเซอร์ ทีมสตูดิโออีก ข่าวเดียวกันนี้ต้องผ่านสายตาหลายคู่กว่าจะพร้อมให้ผู้ชมได้รับชม

ในยุคที่ทุกอย่างรุดหน้าไปรวดเร็ว การทำงานแบบนี้ถูกท้าทายมากขึ้น ความบกพร่องไม่รอบคอบในบางจุดอาจเกิดจากการแข่งขันกับสื่อบนโซเชียลมีเดียที่ทำงานได้เร็วกว่าหลายเท่าเพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการแบบเดียวกัน

แต่ระบบการกรองตามขั้นตอนสื่อแบบดั้งเดิมก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม

 

เทียบกับสื่อบนโซเชียลมีเดียที่ไม่มีใครตรวจสอบขั้นตอนเหล่านี้เลย

ทำให้ข่าวปลอมบนโซเชียลมีเดียแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรง

ในอินเดีย คน 8 คนถูกฆ่าเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นผู้ร้ายลักพาตัวเด็ก อันเป็นผลมาจากข่าวปลอมที่ส่งต่อกันบนแอพพลิเคชั่นวอตส์แอพพ์

ในขณะที่เอ็มไอทีทำการวิจัยเรื่องการแพร่สะพัดของข่าวลือ และพบว่า “ข่าวปลอม” เข้าถึงคนได้มากกว่าข่าวจริง โดยเฉพาะข่าวลือที่เกี่ยวกับการเมือง

ซึ่งเมื่อนำข่าวจริงและข่าวปลอมมาวางเทียบกันแล้วพบว่า กว่าข่าวจริงจะเข้าถึงคนจำนวน 1,500 คนได้นั้น ใช้เวลานานกว่าข่าวปลอมถึงหกเท่าเลยทีเดียว

สถาบันอินเตอร์เน็ตของออกซ์ฟอร์ดได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกันกับเอ็มไอที โดยพบว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายมักจะเลือกนำเสนอข่าวโดยผ่านอัลกอริธึ่มหรือขั้นตอนวิธีที่ออกแบบมาให้ดันสิ่งที่ได้รับปฏิสัมพันธ์จากผู้ใช้งานมากที่สุด หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ไวรัล” นั่นแหละค่ะ

โดยส่วนใหญ่แล้วอัลกอริธึ่มเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าข่าวที่กำลังดันเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมหรอก รู้แต่ว่าข่าวไหนมีคนเข้ามาไลก์ มาคอมเมนต์ มาแชร์มากๆ ก็จะยิ่งดันให้ข่าวนั้นไปปรากฏอยู่ในสายตาคนให้ได้มากที่สุด

นี่ทำให้ข่าวปลอมแพร่สะพัดไปไวกว่าข่าวจริง อันที่จริงอาจจะไม่ใช่แค่ข่าวปลอมก็ได้นะคะ ข่าวที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่เป็นข่าวที่เล่นกับอารมณ์คนจำนวนมากได้ก็นับรวมอยู่ในนี้เช่นเดียวกัน

เมื่อข่าวปลอมถูกปล่อยออกไปเป็นวงกว้าง เราจะเห็นได้ชัดว่าคนจำนวนมากยังไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันมาเพื่อการกรองข่าวสารด้วยตัวเอง

ส่วนใหญ่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่ออยู่แล้ว

บางข่าวก็คล้ายของจริงมากจนไม่อาจแยกแยะได้ตั้งแต่แว้บแรกที่เห็น

ข่าวปลอมไม่ใช่ของใหม่หรอกค่ะ มันอยู่กับเรามาตั้งแต่ยุคฟอร์เวิร์ดเมลแล้ว แต่ตอนนี้มันพัฒนาไปเป็นรูปแบบที่รวดเร็วและร้อนแรงขึ้น

ในขณะที่เราก็ยังไม่สร้างภูมิคุ้มกันให้ทันมันได้สักที เรื่องที่น่าเศร้าคือ เมื่อข่าวปลอมเริ่มกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวจริงกลับไม่มีที่อยู่และถูกชี้เป้าให้กลายเป็นสื่อที่ไม่น่าเชื่อถือไปเสียอย่างนั้น

ดังจะเห็นได้จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกข่าวจริงจากสำนักข่าวดั้งเดิมที่รายงานข่าวไม่ตรงใจเขาว่าเป็นข่าวปลอมนั่นแหละ

 

โซเชียลมีเดียทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวสามารถก้าวข้ามผ่านประตูข่าวสารไปได้ง่ายดายโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเท็จหรือไม่แม่นยำของข่าวสารที่รายงานออกไป การรับผิดชอบต่อข่าวเท็จที่รายงานออกไประหว่างสื่อหลักกับสื่อโซเชียลอยู่ในระดับที่แตกต่างกันมาก

สื่อหลักรับผิดชอบด้วยเครดิตที่ทั้งองค์กรมี มีการออกจดหมายขอโทษ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีการสั่งพักงานหรือยุติสัญญาจ้างงาน เนื่องจากความเป็นอยู่ของคนทั้งองค์กรขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำหน้าที่ได้มืออาชีพที่สุด

แต่สื่อโซเชียลที่เดิมพันไม่สูงเท่า บางครั้งแค่ลบโพสต์ทิ้งไปก็จบและเดินหน้าโพสต์ข่าวใหม่ต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทุกวันนี้ใครๆ ก็รายงานข่าวได้ การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลประตูข่าวสารของสื่อกระแสหลักบางสำนักอาจทำได้ไม่สมบูรณ์แบบหรือผิดพลาด

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะต้องถูกวิจารณ์และแก้ไขไปตามเนื้อผ้าโดยไม่ยกเว้น

ในขณะเดียวกันสื่อโซเชียลบางแห่งก็อาจทำได้ดีมากและก็คงจะไม่เป็นธรรมถ้าหากจะไปติดป้ายว่าข่าวปลอมจะมาจากสื่อโซเชียลเท่านั้น

แต่เราอยากจะให้โลกเข้าสู่ยุคที่ประตูบานนี้เปิดอ้าซ่าไม่มีใครคอยดูแลอีกต่อไปจริงๆ หรือคะ