ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
เหตุการณ์ทีมฟุตบอลติดถ้ำจบลงท่ามกลางเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของคนทั่วโลกที่สามารถช่วยทั้งสิบสามชีวิตออกมาได้
แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่นานนัก แต่สังคมได้เรียนรู้อะไรมากมาย
เราได้รู้หลักการทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์เมื่อขาดอาหาร
เราได้ฟังหลักการการดำน้ำภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย
เราได้เห็นลักษณะนิสัยใจคอของคนหลายคน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้ว่าฯ นักสำรวจถ้ำ นักดำน้ำ แม้กระทั่งมหาเศรษฐีแห่งโลกเทคโนโลยีอย่างอีลอน มัสก์ ที่รีบกระโดดขึ้นเครื่องบินมาช่วย และอีกหลายต่อหลายอย่างภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
และหนึ่งในสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ การปะทะกันครั้งใหญ่ของสื่อบนโซเชียลมีเดียและสื่อดั้งเดิม
ท่ามกลางความวุ่นวายของการวางแผนช่วยชีวิตเด็กและโค้ชออกมา คือการถกเถียงกันระหว่างสื่อและผู้เสพสื่อสองฝ่าย
ฝ่ายแรกคือสื่อดั้งเดิม เช่น สำนักข่าวทีวี สิ่งพิมพ์ วิทยุ ซึ่งเป็นสื่อที่ประกอบกิจการสื่อตามกฎหมาย
ฝ่ายที่สองคือสื่อบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่มีเพจเฟซบุ๊ก หรือแอ็กเคาต์ทวิตเตอร์ และมีผู้ติดตามจำนวนมาก
ฝ่ายแรก มีทีมงานที่เดินทางไปลงพื้นที่ มีนักข่าว ช่างภาพ เจ้าหน้าที่ทางเทคนิค และคอยประสานงานกับทีมงานที่ประจำอยู่ที่สำนักงานเพื่อนำข่าวออกอากาศตามสล็อตเวลา
ฝ่ายที่สอง ติดตามรายงานจากช่องทางต่างๆ และนำมารายงานต่อบนโซเชียลมีเดียตัวเอง โดยที่อาจจะไม่ได้มีทีมลงพื้นที่จริง
การปะทะกันเกิดขึ้นเมื่อสื่อฝ่ายที่สองเริ่มออกโรงวิจารณ์สื่อฝ่ายที่หนึ่งที่ลงพื้นที่ว่าทำงานได้ไม่เป็นมืออาชีพ ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการกู้ภัยทำให้เกิดความเสี่ยง หรือหิวกระหายข่าวจนไม่สนใจจรรยาบรรณ
จนทำให้สื่อฝ่ายที่หนึ่งที่เริ่มอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาระบายความรู้สึกบ้างว่า มาเป็นคนหน้างานดูบ้างไหม ถ้าหากปราศจากนักข่าวแบบดั้งเดิมไปคอยติดตามข่าว ณ สถานที่จริง แล้วใครจะเป็นคนนำข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นมารายงานให้สื่อฝ่ายที่สองหยิบไปเขียนต่อเล่า
ฝ่ายสื่อบนโซเชียลก็ตอบกลับว่า แล้วไงใครแคร์! ไม่ลงพื้นที่ก็ไม่ต้องลง พวกเราไม่ต้องการพึ่งนักข่าวอยู่แล้ว
วันหลังให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุเขารายงานข่าวเอาก็ได้ สมัยนี้ใครๆ ก็มีโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น
วันนี้ก็เลยจะมาขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ และมาดูกันว่าเพราะอะไรเราจึงจำเป็นต้องมีช่องทางการรายงานข่าวแบบเดิม แม้ว่ายุคนี้โซเชียลมีเดียกับอินเตอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่มีใช้เหลือเฟือเหมือนน้ำและอากาศก็ตาม
ในต่างประเทศ การเกิดขึ้นของ fake news หรือข่าวปลอม ได้แพร่สะพัดและสร้างความเสียหายระดับใหญ่หลวงมาแล้ว ดังจะเห็นได้จากข่าวปลอมช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หรือประชามติเบร็กซิท (Brexit) ที่นำไปสู่การตัดสินใจถอนสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป
ทำให้ตอนนี้ประเทศอย่างสหรัฐหรืออังกฤษ ที่ต้องจ่ายราคาอันแสนแพงจากบทเรียนนี้มาแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้กับข่าวปลอมบนอินเตอร์เน็ตอย่างจริงจัง
บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนดั้งเดิมคือการเป็น “ผู้รักษาประตูข่าวสาร” หน้าที่คือต้องเป็นผู้แยกแยะว่าอะไรคือข่าว อะไรไม่ใช่ข่าว การรายงานข่าวของสื่อมวลชนดั้งเดิมไม่ใช่คนเพียงคนเดียว
แต่ในกรณีข่าวโทรทัศน์ กระบวนการประกอบไปด้วยนักข่าวที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมข่าวให้ลงพื้นที่ไปติดตามเรื่องใดเรื่องหนึ่งพร้อมช่างภาพ เมื่อเขียนข่าวเสร็จ ก็จะต้องส่งกลับไปให้บรรณาธิการข่าวตรวจและอนุมัติ
ไหนจะโปรดิวเซอร์ ตัดต่อ ทีมเซ็นเซอร์ ทีมสตูดิโออีก ข่าวเดียวกันนี้ต้องผ่านสายตาหลายคู่กว่าจะพร้อมให้ผู้ชมได้รับชม
ในยุคที่ทุกอย่างรุดหน้าไปรวดเร็ว การทำงานแบบนี้ถูกท้าทายมากขึ้น ความบกพร่องไม่รอบคอบในบางจุดอาจเกิดจากการแข่งขันกับสื่อบนโซเชียลมีเดียที่ทำงานได้เร็วกว่าหลายเท่าเพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการแบบเดียวกัน
แต่ระบบการกรองตามขั้นตอนสื่อแบบดั้งเดิมก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม
เทียบกับสื่อบนโซเชียลมีเดียที่ไม่มีใครตรวจสอบขั้นตอนเหล่านี้เลย
ทำให้ข่าวปลอมบนโซเชียลมีเดียแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ในอินเดีย คน 8 คนถูกฆ่าเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นผู้ร้ายลักพาตัวเด็ก อันเป็นผลมาจากข่าวปลอมที่ส่งต่อกันบนแอพพลิเคชั่นวอตส์แอพพ์
ในขณะที่เอ็มไอทีทำการวิจัยเรื่องการแพร่สะพัดของข่าวลือ และพบว่า “ข่าวปลอม” เข้าถึงคนได้มากกว่าข่าวจริง โดยเฉพาะข่าวลือที่เกี่ยวกับการเมือง
ซึ่งเมื่อนำข่าวจริงและข่าวปลอมมาวางเทียบกันแล้วพบว่า กว่าข่าวจริงจะเข้าถึงคนจำนวน 1,500 คนได้นั้น ใช้เวลานานกว่าข่าวปลอมถึงหกเท่าเลยทีเดียว
สถาบันอินเตอร์เน็ตของออกซ์ฟอร์ดได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกันกับเอ็มไอที โดยพบว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายมักจะเลือกนำเสนอข่าวโดยผ่านอัลกอริธึ่มหรือขั้นตอนวิธีที่ออกแบบมาให้ดันสิ่งที่ได้รับปฏิสัมพันธ์จากผู้ใช้งานมากที่สุด หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ไวรัล” นั่นแหละค่ะ
โดยส่วนใหญ่แล้วอัลกอริธึ่มเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าข่าวที่กำลังดันเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมหรอก รู้แต่ว่าข่าวไหนมีคนเข้ามาไลก์ มาคอมเมนต์ มาแชร์มากๆ ก็จะยิ่งดันให้ข่าวนั้นไปปรากฏอยู่ในสายตาคนให้ได้มากที่สุด
นี่ทำให้ข่าวปลอมแพร่สะพัดไปไวกว่าข่าวจริง อันที่จริงอาจจะไม่ใช่แค่ข่าวปลอมก็ได้นะคะ ข่าวที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่เป็นข่าวที่เล่นกับอารมณ์คนจำนวนมากได้ก็นับรวมอยู่ในนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อข่าวปลอมถูกปล่อยออกไปเป็นวงกว้าง เราจะเห็นได้ชัดว่าคนจำนวนมากยังไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันมาเพื่อการกรองข่าวสารด้วยตัวเอง
ส่วนใหญ่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่ออยู่แล้ว
บางข่าวก็คล้ายของจริงมากจนไม่อาจแยกแยะได้ตั้งแต่แว้บแรกที่เห็น
ข่าวปลอมไม่ใช่ของใหม่หรอกค่ะ มันอยู่กับเรามาตั้งแต่ยุคฟอร์เวิร์ดเมลแล้ว แต่ตอนนี้มันพัฒนาไปเป็นรูปแบบที่รวดเร็วและร้อนแรงขึ้น
ในขณะที่เราก็ยังไม่สร้างภูมิคุ้มกันให้ทันมันได้สักที เรื่องที่น่าเศร้าคือ เมื่อข่าวปลอมเริ่มกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวจริงกลับไม่มีที่อยู่และถูกชี้เป้าให้กลายเป็นสื่อที่ไม่น่าเชื่อถือไปเสียอย่างนั้น
ดังจะเห็นได้จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกข่าวจริงจากสำนักข่าวดั้งเดิมที่รายงานข่าวไม่ตรงใจเขาว่าเป็นข่าวปลอมนั่นแหละ
โซเชียลมีเดียทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวสามารถก้าวข้ามผ่านประตูข่าวสารไปได้ง่ายดายโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเท็จหรือไม่แม่นยำของข่าวสารที่รายงานออกไป การรับผิดชอบต่อข่าวเท็จที่รายงานออกไประหว่างสื่อหลักกับสื่อโซเชียลอยู่ในระดับที่แตกต่างกันมาก
สื่อหลักรับผิดชอบด้วยเครดิตที่ทั้งองค์กรมี มีการออกจดหมายขอโทษ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีการสั่งพักงานหรือยุติสัญญาจ้างงาน เนื่องจากความเป็นอยู่ของคนทั้งองค์กรขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำหน้าที่ได้มืออาชีพที่สุด
แต่สื่อโซเชียลที่เดิมพันไม่สูงเท่า บางครั้งแค่ลบโพสต์ทิ้งไปก็จบและเดินหน้าโพสต์ข่าวใหม่ต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกวันนี้ใครๆ ก็รายงานข่าวได้ การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลประตูข่าวสารของสื่อกระแสหลักบางสำนักอาจทำได้ไม่สมบูรณ์แบบหรือผิดพลาด
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะต้องถูกวิจารณ์และแก้ไขไปตามเนื้อผ้าโดยไม่ยกเว้น
ในขณะเดียวกันสื่อโซเชียลบางแห่งก็อาจทำได้ดีมากและก็คงจะไม่เป็นธรรมถ้าหากจะไปติดป้ายว่าข่าวปลอมจะมาจากสื่อโซเชียลเท่านั้น
แต่เราอยากจะให้โลกเข้าสู่ยุคที่ประตูบานนี้เปิดอ้าซ่าไม่มีใครคอยดูแลอีกต่อไปจริงๆ หรือคะ