อนุสรณ์ ติปยานนท์ : วาระสุดท้ายของ Minimalist

เขาจ้องมองไปรอบๆ ห้อง จากผนังด้านขวาเลื่อนไปจนจรดผนังด้านซ้าย จากผนังด้านซ้ายย้อนกลับมาจนบรรจบกับผนังด้านขวาอีกครั้งหนึ่ง

ผนังที่เคยอัดแน่นไปด้วยกองหนังสือ แผ่น CD โปสเตอร์ภาพยนตร์ และลังบะหมี่สำเร็จรูป บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า

สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงคราบไคลบนพื้นและบนผนังที่รอการชำระล้างเท่านั้นเอง

คราบไคลที่ว่ามีทั้งแบบเหนียวข้นจากน้ำปรุงในลังบะหมี่สำเร็จรูปที่ไหลออกมาหลบซ่อนอยู่ใต้ลังโดยเขาไม่เคยรับรู้มาก่อน

และมีทั้งแบบเป็นดอกดวงที่ติดอยู่บนผนังเป็นคราบเปื้อนอันเนื่องจากความชื้นหลังฝนสาดเมื่อหลายเดือนหรืออาจจะหลายปีก่อนที่จะก่อให้เกิดเชื้อราจากหนังสือแล้วลามไปสู่ฝาผนัง

คราบนี้อีกเช่นกันที่เขาได้พบเห็นมันเมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายทุกสิ่งออกจากที่เดิม

เขากำลังอยู่ในกระบวนการเคลื่อนย้าย เขากำลังโยกย้ายตนเอง แม้ว่าจะพำนักอยู่ในห้องห้องนี้เป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตาม

แต่บัดนี้มันได้ถึงแก่เวลาแห่งการจากไปแล้ว

เขาถอนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้ถังสีที่ยังหลงเหลืออยู่อีกหนึ่งใบรองน้ำจากก๊อกน้ำจนได้ปริมาณพอควรแล้วหยิบแปรงกับกล่องผงซักฟอกติดตัวออกมา

ทำความสะอาดเสียเถอะ เสียเวลาไม่นานนัก ทุกสิ่งก็จะสะอาดกลับมาดังเดิม

หลังจากตีผงซักฟอกกับน้ำในถังจนเป็นฟอง เขาใช้แปรงปาดฟองที่ว่านั้นลงมาที่พื้นและออกแรงถูคราบไคลเหนียวข้นเบื้องหน้า

ระหว่างนั้นเขาอดนึกถึงคำสอนในนิกายเซนไม่ได้

เว่ยหล่างหรือฮวงโปกันแน่นะ หรืออาจเป็นเรียวกัน บรรดาวิปัสสนาจารย์ชั้นเยี่ยมในนิกายนั้นที่กล่าวไว้ว่า “จิตของมนุษย์แต่เดิมนั้นสะอาดผ่องใส ไร้ราคี กิเลสที่จรมานั่นสิที่ทำตัวดังฝุ่นผงเข้าจับกุมจิตจนหมองมัว ออกแรงสักหน่อย ตั้งใจสักนิด มิช้านาน จิตดังว่าก็จะกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิม”

เขาชอบคำเปรียบเปรยนี้แม้ว่าจะไม่อาจจำนามของผู้กล่าวได้ก็ตาม

เขาคิดถึงคำกล่าวนี้บ่อยครั้งในระหว่างบรรจุสิ่งของที่ครอบครองลงใส่ลังเบียร์เพื่อทำการเคลื่อนย้าย

ทำไมเรามีสิ่งของมากมายอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อ มนุษย์ตัวเล็กคนหนึ่งมีสิ่งของที่มากมายเกินไปหรือไม่

หนังสือหลักร้อยแล้วก็เป็นหลักพัน

รูปถ่ายเก่าที่สะสม เครื่องปรุงอาหารที่สะสม วิทยุเก่าที่สะสม แผ่นซีดีตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เสื้อยืดพิมพ์ลายที่ระลึกที่อดอุดหนุนไม่ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส

ทั้งเสื้อยืดประจำนิทรรศการ ประจำงานเสวนา ประจำสถานที่ท่องเที่ยว

บางตัวนั้นเขาใส่มันเพียงครั้งเดียวก่อนจะพบว่ามันไม่เหมาะกับเขา และแล้วมันก็ติดหล่นอยู่ในตู้เสื้อผ้าโดยที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน จนกระทั่งถึงวันโยกย้าย

สิ่งของที่ถูกละเลยก็ไม่ต่างจากคราบไคล เช่นไหม ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น มีอยู่ตรงนั้น จนกว่าถึงวันที่เราจะหาทางขจัดมลทินเหล่านั้นไป

เขาส่ายหัวช้าๆ ยิ้ม คิดมากเกินไปแล้ว ใครๆ ก็หลงลืมสิ่งของที่ซื้อหาหรือได้มาครอบครองทั้งนั้น

ไม่เช่นนั้นจะมีหรือคนที่ซื้ออาหารจำนวนมาก ยัดใส่ตู้เย็น ก่อนจะพบว่ามันเลยวันหมดอายุ หรือพ้นเวลามีรสชาติสำหรับการบริโภคเสียแล้ว มีสิ เราทุกคนเป็นเช่นนั้น เราอยู่ในยุคบริโภคนิยม

ดังนั้น ถ้าไม่บริโภคเสียแล้ว ชีวิตจะมีความหมายอันใด

เขาขจัดคราบไคลบนพื้นจนสะอาดหมดจด ลุกขึ้นยืนสำรวจไปทั่วห้องก่อนจะเริ่มงานที่ฝาผนัง ตรงบริเวณที่เคยเป็นฟูกนอนเขาเคยทำเบียร์หกจากขวดหลายต่อหลายครั้ง

บริเวณนั้นทำความสะอาดได้ยากเย็นที่สุด พื้นไม้ปาร์เกต์ ขัดแรงไปแผ่นเคลือบก็จะเป็นรอย

ไม่ขัดเลยก็เป็นด่างดวง

เขาทำเองตรงนั้นไม่ไหวในที่สุด และตัดสินใจเรียกช่างปูปาร์เกต์มาทำความสะอาดและซ่อมแซมมันให้แทน

การอยู่บ้านเช่าก็ดีเช่นนี้เอง เขานึก เมื่อได้เวลาโยกย้าย เราก็จะสังคายนาความสะอาดตัวตนและสิ่งของเสียที เรื่องแบบนี้คนที่อยู่บ้านตนเองคงไม่เข้าใจ

การบอกคืนบ้านคือการบอกว่าจะต้องนำส่งบ้านที่มีให้กลับสู่สภาพใกล้เคียงของเดิมก่อนเช่าให้มากที่สุด ทุกอย่างจะถูกสำรวจ ซ่อมแซม แก้ไข ทำความสะอาด

สำหรับคนที่อยู่บ้านของตนเอง มันคือการเช่าอยู่ทั้งชีวิต และไม่มีใครคิดจะสำรวจสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะไม่มีใครคิดจะสำรวจสิ่งของที่ตนเองครอบครองอยู่

เขาทิ้งขยะหรือสิ่งของที่ไม่ได้ใช้ไปถึงสามสิบถุงขยะใหญ่

ช่างไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะมีขยะได้มากเพียงนี้

แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเราไม่เชื่อว่าตนเองมีสิ่งของมากเพียงใด

เราก็คงไม่เชื่อว่าตนเองจะมีขยะมากเพียงนั้นเช่นกัน

การสำรวจสิ่งของที่เขามีเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำสำเร็จในการโยกย้ายครั้งนี้ ในตอนแรกเขาตรงไปที่ร้านขายของชำใกล้บ้านเช่าเพื่อขอซื้อลังเบียร์เปล่าจำนวนสิบลัง

หลังจากนั้นเขาไปที่ร้านขายเครื่องเขียนเพื่อขอซื้อเทปกาวสีน้ำตาลและกระดาษปรู๊ฟ เขาคิดว่าหนังสือของเขาน่าจะบรรจุในลังสิบลังนั้นได้

แต่เขาคิดผิด เขากลับไปที่ร้านขายของชำอีกครั้งและอีกหลายๆ ครั้ง แต่ดูเหมือนลังจำนวนเท่าใดก็ไม่พอ เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แต่ตัดใจทิ้งไม่ได้ ส.ค.ส. และการ์ดอวยพรที่ตัดใจทิ้งไม่ได้

จดหมายเชิญเข้าร่วมงานเสวนาและสมุดบันทึกเก่าที่ตัดใจทิ้งไม่ได้

นามบัตร บัตรคอนเสิร์ต ขวดน้ำ แก้วน้ำที่ระลึก ที่ตัดใจทิ้งไม่ได้

จนแม้กระทั่งนิตยสารแจกฟรีที่เขาตัดใจทิ้งไม่ได้

เขาเก็บของและเก็บของ หนึ่งวันเป็นสองวัน สองวันเป็นหนึ่งอาทิตย์ และแล้วเขาก็คิดได้ว่าถ้าไม่ตัดใจทิ้งอะไรเลย สิ่งของที่เขาเก็บใส่ลังจำนวนมากนี้ก็จะไปนอนเกลื่อนที่บ้านเช่าหลังใหม่

บ้านเช่าหลังใหม่ที่แม้จะมีขนาดใหญ่โตกว่าบ้านหลังเดิม แต่ที่นั่นเขาก็จะเริ่มสะสมสิ่งของเพิ่มอีก

และไม่ช้านาน บ้านหลังใหญ่เพียงใดก็จะกลายเป็นที่รวมของสิ่งของที่ถูกลืมอยู่ดี

และแล้วเขาก็นึกถึง มาริเอะ คอนโดะ หญิงสาวผู้โด่งดังจากหนังสือที่มีชื่อว่า The Life-Changing Magic of Tidying Up : The Japanese Art of Decluttering and Organizing หรือที่รู้จักในฉบับภาษาไทยว่า “ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว”

เขาเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว เป็นการกำจัดสิ่งที่เรามีมากเกินอย่างได้ผล

มาริเอะบอกว่า สิ่งที่เราไม่ใช้แล้วอาจมีประโยชน์ต่อบุคคลอื่น ดังนั้น การทิ้งสิ่งของที่มากเกินความจำเป็นไป นอกจากจะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น มันยังทำให้คนที่อยากได้สิ่งของเหล่านั้นได้มันไว้ในครอบครองแทนเราที่ละเลยมัน

เขาชื่นชอบปรัชญาและความคิดนี้แต่ก็อดมีคำถามไม่ได้ หากเราทิ้งสิ่งของที่เราไม่ต้องการใช้แล้วไปและมีใครบางคนรับสิ่งของเหล่านั้นไปดูแล มันจะไม่ใช่การเพิ่มภาระชีวิตให้แก่พวกเขาเหล่านั้นหรือ

เราซื้อหาสิ่งของ ชื่นชมมันเพียงครู่แล้วปล่อยมันไปให้กับบุคคลอื่นที่รับไปดูแลแทน

พฤติการณ์แบบนี้ต่างจากการเลี้ยงสัตว์ที่ชอบ และพอเบื่อก็ปล่อยมันไว้ตามท้องถนนหรือไม่ เขาคิดและคิดก่อนจะพบว่า ยิ่งคิดมาก ข้าวของก็ดูจะสำคัญขึ้น

“เราสิที่ต้องการสิ่งของเหล่านั้น เราสิที่รู้จักสิ่งของเหล่านั้น ถ้าเช่นนั้นเก็บมันไว้ มันน่าจะมีพลังงานกับเรามากกว่าอยู่กับบุคคลใด”

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเก็บมันและออกไปซื้อลังมาเพิ่มอีกครั้งหนึ่ง

แต่ก็เพียงแค่สองสามวันเท่านั้นเอง หลังจากที่เรียงลังทั้งหลายจนท่วมหัว เขาก็คิดถึงมาริเอะ คอนโดะ และวิธีการกำจัดและจัดระเบียบสิ่งของของเธอที่เรียกว่า คอน มาริ อีกครั้ง

ไม่มีทางเลยที่เราจะเอาทุกอย่างไปได้

ครานี้เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง นี่เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานข้ามจังหวัด ใครล่ะจะช่วยเราจัดบ้านหรือขนถ่ายสัมภาระเหล่านี้

เราเหลืออายุบนโลกนี้อีกเท่าไหร่กัน ถ้าจิตของเขาบริสุทธิ์มาแต่แรกเริ่ม เวลาที่จะชำระจิตให้สะอาดจากความหมองมัวที่ปกคลุมมาทั้งชีวิตก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

เขาเปิดแต่ละลังออก ทิ้งสิ่งของด้วยความตัดใจ จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่

ขยะในถุงสีดำเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณลังเริ่มลดลง

ตอนนี้เขาเริ่มทำความสะอาคคราบไคลบนฝาผนังแล้ว เขายิ้มให้กับตนเอง นึกถึงวันที่ตัดใจเช่นนั้นได้ ไม่ช้าก็เร็วเราก็คงต้องจากสิ่งของเหล่านั้นไปอยู่ดี ให้มันจากไปเสียตอนที่เรายังลงมือปลดปล่อยมันได้ดีกว่าที่จะปล่อยให้ใครมาจัดการมันในวันที่เราจากโลกนี้ไป

เขาคิดเช่นนี้และพบว่าการทิ้งสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วก็คือการเขียนพินัยกรรมประจำวัน

“ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครที่อยู่เบื้องหลังมารับภาระอะไรจากฉันหลังจากวันที่ฉันจากโลกนี้ไปแล้ว ฉันจะต้องหมดจดและชำระจิตของตนเองให้สะอาด ขาวรอบ ด้วยมือของฉันเอง ไม่ใช่ผู้อื่น”

แปลกดีที่ทำไมเพียงแค่การจัดบ้าน เขารู้สึกเก่าแก่คร่ำครึเหมือนพวกนักการศาสนาหรือพวกศาสนิกที่เคร่งครัด อายุใช่ไหม หรือความวุ่นวาย หรือความเบื่อหน่าย หรือการยอมรับความจริงว่าความเหน็ดเหนื่อยจากการครอบครองนั้นมีอยู่จริง ถ้าทำแบบนี้เขาจะกลายเป็นพวก Minimalist หรือพวกที่ปฏิเสธการครอบครองและหลงใหลในความมักน้อยไปหรือไม่

ถ้าเขาเข้าร้านสะดวกซื้อและซื้อสบู่ทีละก้อนแทนการซื้อมันมากักตุนไว้ หรือเลิกอ่านนิตยสารและหนังสือแบบเป็นเล่มแต่อ่านแบบออนไลน์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน เขาจะลดภาระลงได้จริงหรือ

เขาจำได้ว่าเขาเคยชมสารคดีของหนุ่มชาวญี่ปุ่นอีกคนที่ชีวิตนี้มีของน้อยแสนน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

ชายหนุ่มนาม ฟูมิโอะ ซาซากิ ผู้มีสิ่งของในที่พักเพียงแค่สองร้อยชิ้นเท่านั้นเอง เขามีเสื้อเชิ้ตสี่ตัว รองเท้าห้าคู่ ถุงเท้าอีกสี่คู่

จากชีวิตที่เต็มไปด้วยสิ่งของ เขาขายหนังสือ ขายแผ่น CD เหลือสิ่งของเท่าที่จำเป็น

ย้ายไปเช่าบ้านหรือห้องที่มีขนาดเล็กลงและใช้เวลาทำความสะอาดที่พักเพียงสองนาทีเท่านั้น

เขาให้สัมภาษณ์ว่าชีวิตของเขาสงบสุขขึ้นและเชื่อว่ามนุษย์สามารถอยู่ได้ด้วยของที่จำเป็น

และมีความสุขมากกว่าการมีสิ่งของท่วมท้นเช่นที่เป็นไปในสังคม

คราบไคลบนผนังหมดแล้ว เหลือแต่ความสะอาดสะอ้าน

เขานั่งพิงฝาผนัง หายใจเข้าและออก คิดถึงคนสองคนที่ว่า การขจัดสิ่งของตามแบบฉบับของมาริเอะ คอนโดะ แทบไม่ต่างจากการหายใจออก เอาของเสียออกมา

สิ่งใดที่ไม่ได้ใช้บริจาคออกไป สิ่งใดที่พ้นสมัย ไม่มีประโยชน์ ขจัดมันออกไป หายใจออกยาวๆ รีดเอามลภาวะทั้งหมดในตัวออกมา

หลังจากนั้นใช้วิธีของฟูมิโอะ ซาซากิ จงหายใจเข้าแต่อากาศที่บริสุทธิ์ ทุกครั้งก่อนการซื้อหาสิ่งใด ทบทวนว่ามันจำเป็นหรือไม่

อาหารซื้อเท่าที่จำเป็น หนังสือซื้อเท่าที่ต้องการอ่าน บทเพลงล่ะ มีแอพพลิเคชั่นมากมายที่ทำให้เราไม่ต้องสะสมแผ่น CD อีกต่อไปแล้ว

แค่ลำโพงบลูทูธเล็กๆ หนึ่งอัน เราน่าจะได้ความสงบสุขคืนมา

แต่แม้จะคิดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่พวก Minimalist อยู่ดี เขาเชื่อในความหลากหลาย ในความฟุ่มเฟือย ชีวิตแบบพวก “น้อยแต่มาก” นั้นดูเป็นชีวิตที่จืดชืด

และเขาคิดแบบนั้นได้เพราะเขาเหนื่อยกับการเคลื่อนย้ายต่างหาก

ถ้าพ้นจากการเคลื่อนย้ายครั้งนี้แล้ว ของหลายสิ่งน่าจะมีที่ทางลงตัวในที่พักใหม่ เขาเปิดถังขยะ เลือกบางอย่างที่ยังตัดใจไม่ได้เอาใส่ลังก่อนจะพบว่าเขามีลังไม่พอ เขาเดินออกจากบ้านเพื่อไปซื้อลังมาเพิ่ม อากาศภายนอกสดชื่นมากทีเดียว เขาหายใจเข้าและออกอย่างร่าเริงใจ การตัดใจไม่ได้ให้ความสุขอย่างยิ่ง

เป็นความสุขจากการได้ครอบครองบางสิ่งที่ไม่ตกถึงมือใคร