เศรษฐกิจ / สงครามการค้า ‘สหรัฐ-จีน’ ทั่วโลกทั้งลุ้น ทั้งภาวนา สวนหมัดแรก ‘น็อกเอาต์’

เศรษฐกิจ

 

สงครามการค้า ‘สหรัฐ-จีน’

ทั่วโลกทั้งลุ้น ทั้งภาวนา

สวนหมัดแรก ‘น็อกเอาต์’

 

สงครามการค้าสหรัฐกับจีน หรือกับประเทศอื่นๆ ที่ประกาศว่าจะใช้มาตรการตอบโต้กันไปมา ยังไม่ทันได้ “บทสรุป”

แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกรุดหน้า เกิดปั่นป่วน ดัชนีติดลบอย่างหนัก และแกว่งตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง ตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นแรงขายของนักลงทุนขนเงินออกจากตลาดประเทศเกิดใหม่อย่างไทยด้วย

น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดบ่อยนัก ที่ไม่มีผู้กล้าออกมา “พยากรณ์”

“วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ปัจจัยต่างประเทศยังคงกดดันตลาด ยังไม่ชัดว่าแรงขายหุ้นของนักลงทุนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด อย่างตลาดเกิดใหม่เป็นตลาดที่มีแรงขายมากถึง 4% ขณะที่ดัชนีโกลบอลมาร์เก็ตหรือดัชนีเอ็มเอสซีไออยู่ที่ 2%

มองเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และสหรัฐกับประเทศอื่น ยังคงเป็นตัวแปรหลักของตลาดหุ้น ล่าสุดสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรป 20% ก็ต้องดูว่ากลุ่มยุโรปจะมีการตอบโต้อย่างไร ซึ่งการตอบโต้จากประเทศต่างๆ ที่มากขึ้น ยิ่งเป็นลบต่อตลาดหุ้น ยิ่งเพิ่มความกังวลว่า การค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกรวมถึงไทยอาจชะลอตัว

ด้าน” วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงกังวลเรื่องสงครามการค้า ที่อาจลุกลามไปทั่วโลก หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐอาจสั่งห้ามไม่ให้บริษัทจีนเข้าลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ รวมถึงหลายประเทศใช้มาตรการตอบโต้กลับสหรัฐ โดยอียูจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ 29 มิถุนายน แม้หวังว่าตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะมีปัจจัยบวกเรื่องราคาน้ำมัน ทิศทางของฟันด์โฟลว์ที่มีการขายสุทธิลดลง แต่อาจกลบความกังวลทั้งหมด

สำหรับโลกนั้น กำลังจับจ้องผลกระทบก่อนหรือหลังวันที่ 6 กรกฎาคม ที่จะเป็นวันดีเดย์บังคับใช้มาตรการ

China’s President Xi Jinping (L) and US President Donald Trump attend a welcome ceremony at the Great Hall of the People in Beijing on November 9, 2017. / AFP PHOTO / NICOLAS ASFOURI

 

ตามข้อมูลศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า สหรัฐประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน รวม 1,102 รายการ มูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นระยะ 1 เก็บภาษี 25% สินค้านำเข้าจากจีน 818 รายการ เช่น ชิ้นส่วนอากาศยาน เครื่องจักรและชิ้นส่วนยานยนต์ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และระยะ 2 เก็บภาษี 25% อีก 284 รายการ เช่น อุปกรณ์และสารกึ่งตัวนำ พลาสติก รวม 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่มีเวลาชัดเจน!

ขณะที่จีนตอบโต้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 659 รายการ มูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ระยะแรกเก็บภาษี 25% ในกลุ่มสินค้า 545 รายการ เช่น ถั่วเหลือง อาหารทะเล เนื้อวัว เนื้อหมู รถออฟโรด รวม 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เริ่มวันที่ 6 กรกฎาคมเช่นกัน ส่วนระยะที่ 2 จีนจะเก็บภาษี 25% สินค้านำเข้าจากสหรัฐอีก 114 รายการ ในกลุ่มสินค้าพลังงาน เช่น ถ่านหิน น้ำมันดิบ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และไม่ระบุอาจมีผลทันทีหลังสหรัฐบังคับใช้ภาษีระยะ 2

พร้อมกับกระแสจะเพิ่มการตอบโต้กันอีก วงเงินอาจสูงเกิน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

“รักพงศ์ ไชยศุภรากุล” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุเสริมว่า นักลงทุนคงกังวลเรื่องสงครามทางการค้าสหรัฐ-จีน ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าสุดท้ายสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนตามที่เคยประกาศว่าจะเรียกเก็บถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐหรือไม่ แต่เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายได้ เพราะหากสหรัฐประกาศเก็บภาษีเต็มวงเงิน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ไม่แค่กระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

สอดคล้องกับที่การวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ว่า สหรัฐต้องกลับไปทบทวนว่าจะดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อไปหรือไม่ หากสหรัฐเดินหน้า เชื่อว่าสหรัฐเองจะได้รับผลกระทบหนักสุด กับผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ผลักดันเงินเฟ้อพุ่ง เชื่อว่าหากเลือกนโยบายผ่อนคลายด้วยการเจรจา จะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกได้

แม้ทางการไทยจะออกมาระบุว่าไทยเป็นประเทศเล็กๆ และไม่ใช่เป้าหมายของยักษ์ 2 ประเทศ แต่อย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้

 

“พิมพ์ชนก วอนขอพร” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ยังไม่มีผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกของไทยมากนัก แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อการค้าโลกผันผวน อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเร็ว ย่อมส่งผลต่อการส่งออกและเสถียรภาพเศรษฐกิจ

“สุวิชญ โรจนวานิช” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สะท้อนว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ควรมองแง่บวกหรือสร้างโอกาสจากสถานการณ์ จากประเทศอื่นหันซื้อสินค้าไทยแทน โดยเฉพาะเหล็กและอะลูมิเนียมที่ไทยส่งออกอยู่แล้ว มองว่าสถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง เพราะไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ตรงกันข้าม ตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการส่งออกด้วยซ้ำ

อย่าง “กลินท์ สารสิน” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นแบบเดียวกันว่า สงครามการค้าจะกระทบกับไทยค่อนข้างน้อย เพราะสินค้าในลิสต์ที่ออกมาไม่มีอยู่ในห่วงโซ่ของสินค้าไทย โดยช่วงปลายเดือนมิถุนายน คณะทำงานชุดเล็กของหอการค้าสหรัฐจะเดินทางมาไทย ทางหอการค้าฯ เตรียมนำเสนอข้อกังวลต่างๆ เพื่อลดทอนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ก่อนจะหารือร่วมกับคณะหอการค้าสหรัฐชุดใหญ่ ที่จะเดินทางมาร่วมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ เดือนกันยายนนี้

 

ฉะนั้น สำหรับสงครามการค้าสหรัฐที่เปิดฉากกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่าง “จีน” ที่สหรัฐขาดดุลการค้าถึงประมาณ 3.7-3.75 แสนล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับมูลค่าการขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐในเดือนมกราคม 2561 สูงสุดในรอบ 10 ปี ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีเหตุการณ์ใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์ตลาดหรือไม่

เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเปราะบาง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก

แต่ที่แน่ๆ ถ้าสหรัฐประกาศขึ้นภาษีเต็มที่ ไม่มีการเปิดโต๊ะเจรจากับประเทศจีน หรือประเทศอื่นๆ งานนี้อาจจะเจ็บตัวเองได้