ขอบคุณข้อมูลจาก | รักคนอ่าน ฉบับวันที่ 27 พ.ค. - 2 มิ.ย. 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
ฉันเพิ่งได้ไปดูหนังยอดนิยมมาเมื่อ 2-3 วันนี้ นั่นก็คือเรื่องกัปตันอเมริกา และเอกซ์เมน นับว่าช้ากว่าใครๆ เข้าไปร่วมเดือน
ฉันเป็นคนค่อนข้างแข็งแกร่งต่อการสปอยล์ (spoil) หรือการเล่าเรื่องหนังให้ได้รู้ ก่อนเข้าไปดู ดังที่ได้เคยบอกไปหลายครั้งแล้ว แต่เป็นคนบอบบางอ่อนไหวอย่างยิ่ง กับสิ่งที่ขอเรียกรวมๆ ไปว่า “ผีโรงหนัง” ซึ่งหมายถึงเหตุจุกจิกกวนใจอันเกิดจากผู้ชมร่วมโรงอันหลากหลาย ทั้งคุยกัน กินขนมเสียงดัง เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือถีบเบาะ เป็นอาทิ
ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่าเรื่องมาก ฉันรู้ตัวของฉันดี ดังนั้น, เมื่อมีหนังฟอร์มยักษ์ยอดนิยมแบบดูได้ทั้งครอบครัวเข้าโรง ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่ไปดูหนังในช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่กระแสยังรุนแรง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกต้องหลบหลีกสปอยล์เนื้อเรื่องของหนังเป็นพิเศษแต่อย่างใด
หลบไปหลบมาแบบนี้เป็นเดือนจนมาชนเข้ากับหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่อง ก็คือ เอกซ์เมน ภาคล่าสุด แต่เรื่องนี้คงไม่ค่อยโดนใจสายครอบครัวมากเท่าไหร่ หรือไม่ก็คงอิ่มตัวกันแล้วจากกัปตันอเมริกา กระแสความคลั่งไคล้จึงไม่รุนแรงมาก
ฉันก็เลยจัดตัวเองให้ไปดูได้ในรอบเช้าตรู่ของวันธรรมดาอย่างสงบสุข
ดูๆ ไปแล้วทั้งสองเรื่องทำให้ฉันนึกถึงการ “เล่นเป็นพระเจ้า” อย่างไรบอกไม่ถูก
จริงๆ มนุษย์กับการทำตัวเป็นพระเจ้าที่คอยคิดแทน ทำแทน เจ้ากี้เจ้าการออกหน้า ออกรับอะไรต่อมิอะไรแทนคนอื่นนี่มันก็มีมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่หนังแนววิทยาศาสตร์ที่สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา หรือบุกเบิกไปหาที่อยู่บนดาวไกลๆ ไปจนถึงหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างสองเรื่องนี้ ที่พลังพิเศษมาพร้อมการไปช่วยคนนั้นคนนี้ ช่วยสังคม หรือกู้โลก
แต่มันก็ส่งผลกระทบในมุมกลับต่อคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายในการช่วยเหลือ ไม่มีพลังพิเศษ คนที่ไม่มีชื่อไม่มีหน้า เป็นแค่ยอดรวมโศกนาฏกรรม เป็นแค่ตัวละครมาส่งเสริมสุดยอดพลังให้มันยิ่งใหญ่มหึมายิ่งๆ ขึ้นไป
แล้วก็แทบจะทุกที ที่พอคนเริ่มจะเล่นเป็นพระเจ้าเมื่อไหร่ หนทางหายนะก็จะกลับมาปรากฏให้เห็นตรงหน้าเพื่อตอกย้ำว่า -นายมันแค่คนธรรมดา นายไม่มีวันจะหลีกหนีหนทางอันลึกลับของพระเจ้าได้-
คุณไม่ได้เป็นพระเจ้า
คุณเป็นแค่คนบ้าใส่หน้ากาก มีผ้าคลุม หรือห่อตัวอยู่ภายใต้เครื่องแบบที่ก็ตัดเย็บมาจากฝีมือคนธรรมดา
คุณเป็นแค่คนบ้าอำนาจคนหนึ่ง
แล้วคุณจะได้พบกับการร่วงหล่นลงมาอย่างเจ็บปวด
HHhH : 4H ที่เป็นชื่อเรื่องนี้ย่อมาจากประโยคเต็มว่า -Himmlers Hirn heisst Heydrich- “สมองของฮิมม์เลอร์เรียกว่าไฮดริช” ซึ่งอ้างถึงชื่อของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคนาซี คือ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ และ ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช 2 กำลังหลักของมาตรการแก้ปัญหาครั้งสุดท้าย ที่ออกมาเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื้อหาหนังสืออ้างถึงปฏิบัติการแอนโธรพอยต์ ซึ่งเป็นการลอบสังหาร ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช-ผู้กำลังเล่นบทพระเจ้า กุมชะตากรรมของคนเป็นล้านเอาไว้ในมือ
โดยตัวปฏิบัติการลอบสังหารนั้นตื่นเต้นด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว การจะฆ่าบุรุษผู้ถือเป็นหัวหน้าลำดับต้นๆ ของพรรคนาซีที่กำลังเรืองอำนาจอย่างยิ่งในขณะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยจิตใจอันเข้มแข็งและเสียสละของหลายๆ คนทั้งที่ร่วมและไม่ได้ร่วมโดยตรงในปฏิบัติการ จนการลอบสังหารครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นตำนานบทหนึ่ง
แต่ผู้เขียนคือบิเนต์, ที่ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สอนวรรณกรรมฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยปารีส เลือกที่จะเติมความยอกย้อนลงไปในวิธีเล่าอีกหน่อย
บิเนต์ไม่ได้เล่าเรียงอย่าง 1, 2, 3 และไม่ได้ย้อนจากหลังไปหน้าเป็น 3, 2, 1
บิเนต์เริ่มโดยการอนุมานว่าผู้อ่านรู้ถึงปฏิบัติการนี้แล้ว เขาพาเราเข้าไปในโบสถ์และพิพิธภัณฑ์ซึ่งยังรักษาสภาพการต่อสู้และจัดแสดงข้าวของและประวัติของผู้เกี่ยวข้องเอาไว้
จากนั้นเขาก็เริ่มเติมสีสันและรายละเอียดเข้าไปในประวัติศาสตร์ โดยเล่าถึง “การเล่า” ของตัวเขาเองไปพร้อมๆ กันด้วย
บิเนต์ไม่เขียนมันอย่างนิยาย ไม่มีตัวละครไหนถอนใจตรงที่ไม่จำเป็น เขาไม่รู้ว่าผู้คนดื่มกาแฟจากแก้วสีอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นกินกาแฟเพื่อถ่างตารอข่าวปฏิบัติการหรือไม่
เขาเล่าข้อเท็จจริงของเรื่องราวไปพร้อมๆ กับทะเลาะกับกรรมวิธีของตัวเองไป ผ่านบทสั้นๆ ของการเล่า จนมันเป็นเหมือนการแอบอ่านบันทึกของนักเขียนนิยายคนหนึ่ง ซึ่งเรารู้โครงเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังอยากรู้ว่าเขาจะเล่ามันออกมาอย่างไร
พูดง่ายๆ คือบิเนต์เป็นคนกวนประสาทนั่นเอง
เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยจังหวะเดียวกับยุงที่มาคอยบินหวู่หวี่อยู่ข้างหู ยุงตัวที่เราบอกกับตัวเองว่าช่างมันเถอะเดี๋ยวมันก็ไป แต่มันก็ไม่ไป ยังคงบินโฉบเฉียดใกล้บ้างไกลบ้าง และพอเราหมดความอดทน มันก็จะหายไปไม่เห็นตัว พอเราทำไม่สนใจมันก็จะกลับมาอีกครั้ง
สุดท้าย เราก็จะทิ้งทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ และทุ่มเทสมาธิไปกับการกำจัดยุงนี่ให้ได้
มันมีจังหวะที่เราอยากจะเขวี้ยงหนังสือทิ้งด้วยความหงุดหงิดที่เขายักท่า ไม่ยอมเล่าเสียที แต่สุดท้ายก็ซมซานไปเก็บกลับมาอ่านต่อเพราะอยากรู้เรื่อง ทั้งๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องมันจะจบลงแบบไหน
สําหรับผู้ที่เล่นเป็นพระเจ้า ผู้ที่ชอบควบคุม จัดการ สั่งให้คนในแถวซ้ายหันขวาหันยังไม่พอ ยังบังคับให้เขาหันด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มจะรู้สึกอย่างไรนะ เมื่อพระเจ้าที่แท้จริงยื่นมือมากระชากพรมใต้เท้าของเขาออกไป วันที่เขารู้ว่าความยิ่งใหญ่ของเขานั้นเป็นสิ่งลวงตา และระหว่างเส้นทางความยิ่งใหญ่ ได้สะสมคนที่รังเกียจเขามากไปกว่าคนที่รัก
“ผมคิดว่า มนุษย์ทุกคนที่มีชีวิตไม่ถึงกับพบเจอเคราะห์ร้ายไม่รู้จักจบจักสิ้น น่าจะได้เสพประสบการณ์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผิดหรือถูกก็ได้ ประสบการณ์ล่องลอยบนสรวงสวรรค์ยืนยันการดำรงอยู่ของตน สำหรับไฮดริช เสี้ยววินาทีนั้นมาถึงแล้ว-ในยามที่ไฮดริชเดินเข้าไปในวิหารของวังวัล เลินชไตน์- เรื่องเสียดเย้ยแสนอร่อยก็คือ ได้เสพรับการลอยล่องดุจเทพ หนึ่งวันก่อนการลอบสังหาร”*
หนทางและวิธีการของพระเจ้าเป็นสิ่งลึกลับไร้รูปแบบ ในทางหนึ่งคนที่กำจัดไฮดริชไม่ให้เขาได้ไปอยู่ในดินแดนสุขาวดีแห่งไรค์ชที่ 3 ก็อาจจะมองตัวเองเป็นพระเจ้าเช่นกัน ที่ได้ลงมือทำอะไรบางอย่างให้โลกนี้ดีขึ้น ให้โลกได้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีไฮดริชอยู่บนโลก
ไฮดริชนอนทรมานจากผลของการติดเชื้อจากบาดแผลลอบยิง ทั้งที่เหมือนจะอาการดีขึ้นแล้ว มีหลายทฤษฎีแต่ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร แต่ก็เชื่อว่านี่คืออาการเริ่มต้นของเซ็ปติซีเมีย -ภาวะโลหิตเป็นพิษ- ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายทั่วร่าง และจะเสียชีวิตในสี่สิบแปดชั่วโมง
หากต้องการรักษาชีวิตไฮดริช จำเป็นต้องได้รับยาที่หาไม่ได้ในอาณาจักรไรค์ชที่ 3 นั่นคือเพนิซิลลิน
อังกฤษมีเพนิซิลลิน
และคนอังกฤษไม่มีวันยอมให้
ถ้านี่เป็นหนังสักเรื่อง
ฉันว่าตอนนี้แหละ
ที่พระเจ้าจะเริ่มหัวเราะ
มนุษย์วางแผนชีวิตได้เสมอ
วางไปเถอะ
เพราะพระเจ้าจะรอหัวเราะคุณในตอนสุดท้ายอยู่แล้ว
“ปฏิบัติการเดือดเชือดไฮดริช” (HHhH) เขียนโดย Laurent Binet แปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 เดือนมีนาคม, 2559 โดยสำนักพิมพ์เลเจ้นด์ บุ๊คส์
*ข้อความจากในหนังสือ