คำ ผกา : โลกนอกกะลา

คำ ผกา

เว็บไซต์ของสำนักข่าวสเตรตไทมส์ ของสิงค์โปร์ จัดอันดับคนเอเชีย 50 คนที่น่าจับตาที่สุด มีคนไทยอยู่ในลิสต์ด้วย 5 คน ประกอบไปด้วย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร นางสาวรัสมี เวระนะ’ แห่งวง ‘รัสมี อีสานโซล’
ความน่าสนใจของข่าวนี้สำหรับฉันคือ ทั้ง 5 คน หากไม่เป็นคนที่คนไทยส่วนมากไม่รู้จัก
หรือไม่ก็เป็นคนที่คนไทยจำนวนหนึ่ง “ไม่ชอบขี้หน้า” เท่าไหร่ เช่น เนติวิทย์
โดยทั่วไปแล้วคนไทยเป็นคนที่ขี้เห่อความได้หน้าได้ตาบนเวทีโลก เช่น ถ้ามีดาราไทยสักคนได้ไปเดินพรมแดงในงานเทศกาลหนังระดับโลก หรือมีดาราไทยได้ไปแสดงหนังฮอลลีวู้ด หรือแม้แต่การที่นางงามไทยไปเข้ารอบสุดท้ายบนเวทีประกวดนางงามจักรวาล ฯลฯ คนไทยมักจะมีความกระดี๊กระด๊า ดีใจ ภูมิใจว่า เห็นไหม คนไทยก็เก่งไม่แพ้ใครในโลก อุ๊ย คนไทยก็สวยไม่แพ้ใครในโลก
หรือตอนที่มีหมอคนไทยไปแข่งทาสเตอร์เชฟที่อังกฤษ คนไทยก็ดี๊ดา ภูมิใจ ส่งใจเชียร์ (ไม่ได้แปลว่าผิดหรือไม่ดี)


ในทางกลับกัน มีคนไทยหลายคนที่ได้รับการยกย่องในเวทีโลก เรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลายคน เช่น น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือทนายจูน จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับรางวัล “ผู้หญิงกล้าหาญนานาชาติ” (International Women of Courage Award) ประจำปีนี้จากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ
น.ส.รจเรข วัฒนพาณิชย์ เจ้าของร้านหนังสือ Book Re:public ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรการสร้างความตื่นรู้เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย ก็เคยได้รับรางวัลเมื่อปี 2016
นักข่าวอย่าง ประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสประจำข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ หรือข่าวสดอิงลิช ได้รับมอบรางวัลเสรีภาพสื่อนานาชาติ 2017 (International Press Freedom Awards 2017) จากคณะกรรมการเพื่อปกป้องนักข่าว


เนติวิทย์เองก็ได้รับการยกย่อง ยอมรับจากปัญญาชน และขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยจากทั่วโลกได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐก หรือผู้บรรยายในงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 ซึ่งเวทีนี้เป็นเวทีระดับโลกที่พูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน และเป็นเวทีที่รวมตัวของนักสิทธิมนุษยชน เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ ประมุขของรัฐ และอื่นๆ โดยจะจัดขึ้นที่เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ยังไม่นับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนไทยอีกหลายคนที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เทียบกับการมีนางามจักรวาล หรือการมีดาราไทยไปเดินพรมแดง

ความประหลาดใจแบบโง่ๆ ของฉันก็คือ เฮ้ยยย ทำไมคนไทยตื่นเต้นกับนางงามจักรวาลมากกว่าทนายความที่ได้รางวัลสตรีกล้าหาญจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกานะ?

คนไทยไม่สนข่าวนี้ ไม่ยินดี ไม่ยกย่อง ว่าทำไมทนายความผู้หญิงคนหนึ่ง หรือเจ้าของร้านหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง จึงได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติ
ทำไมเด็กเหลือขอ เด็ก “ชังชาติ” อย่างเนติวิทย์ จึงได้รับเชิญเป็นองค์ปาฐกในเวทีอย่าง Oslo Freedom Forum
เหล่านี้ไม่สนใจก็ยังพอทำเนา แต่ไม่แปลกใจ หรือตั้งคำถามกันบ้างเลยหรือว่า บรรดาคนไทย คนดี ที่ได้รางวัลอะไรต่อมิอะไรกันโครมๆ จากองค์กรต่างๆ ในเมืองไทยทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ไม่เห็นจะมีใครได้ไปบนเวทีโลกอย่างเนติวิทย์
และหากจะมีคำถามบ้าง ก็น่าจะได้ตั้งคำถามกันต่อว่า สิ่งที่เรา-คนไทย และสังคมไทย-เห็นว่าดีนั้น มันสวนทางกับนานาอารยประเทศกันอยู่หรือเปล่า?
หรือเราจะเริ่มมี mind set แบบพลเมืองจีน หรือเมียนมา นั่นก็คือ ใดๆ หรือใครๆ ก็ตาม ที่ได้รางวัลประชาธิปไตยเอย สิทธิมนุษยชนเอย ใครๆ เหล่านั้น ไม่ใช่คนดี คนที่น่ายกย่องหรอก
แต่คือคนจำพวกที่เป็นภัยต่อรัฐ ต่อความมั่นคงต่างหาก
ยิ่งได้รางวัลมาก ยิ่งได้รับการยกย่องจากสากลโลกมาก ยิ่งแปลว่า อันตรายมาก

คําถามโง่ๆ ที่ฉันเฝ้าถามตัวเองอีกก็คือ ถ้าเราเดินไปตามถนน แล้วถามคนไทยว่า เราอยากให้ประเทศชาติของเรามีความเจริญก้าวหน้าเหมือนประเทศไหนในโลกบ้าง

สมมุติเล่นๆ ให้เลือกว่า ระหว่างประเทศที่ปกครองด้วยเผด็จการอย่างซิบบับเว เราชอบไหม? หรือเรารู้สึกอย่างไรกับประเทศที่อยู่ภายใต้รัฐบาลทหารมายาวนานหลายทศวรรษแบบเมียนมา – เราชอบไหม?
ถามอีกว่า ประเทศที่ให้คุณค่าแก่เสรีภาพ สิทธิ คุณภาพชีวิตของพลเมืองอย่างประเทศในแถบแสกนดิเนเวีย เราชอบไหม?
ฉันเดาว่า คนส่วนใหญ่ก็คงอยากมีชีวิตในสังคมที่ศิวิไลซ์ มีอารยะ กฎหมายเป็นกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ ที่รับประกันสิทธิ เสรีภาพของพลเมือง มีนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน มีระบบราชการที่ไม่ใหญ่โต เทอะทะ มีประสิทธิภาพ ไม่เอื้อให้เกิดการคอร์รัปชั่น พลเมืองของประเทศดำรงชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าของประเทศ
และมันก็ประหลาดมากๆ อีกนั่นแหละ ที่คนไทยเกือบทุกคนย่อมปรารถนาอยากมีคุณภาพชีวิตเหมือนประเทศโลกที่ 1

แต่พวกเราเกือบทั้งหมดกลับเป็นกลไกในการสนับสนุนวัฒนธรรมอำนาจนิยม และเผด็จการนิยม ในวัฒนธรรมการเมืองไทยเสียเอง

จะกี่โพลๆ เมื่อไปถามประชาชน ถึงข้อดีของรัฐบาลทหาร ก็จะตอบว่า ชอบมาก ดีมาก เพราะมีความเด็ดขาดในการปกครอง บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีการชุมชุม ใช้ความเด็ดขาดในการปราบปรามคอร์รัปชั่น

ในขณะที่เราอยากศิวิไลซ์ อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยากมีศักดิ์ศรีในความเป็นเมนุษย์ เรากลับเกลียดกลัวคนแบบเนติวิทย์ ว่าคนแบบนี้เป็นพิษ อันตราย สั่นคลอนคุณค่าของความเป็นไทย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เหิมเกริม ก้าวร้าว
ในขณะที่เราอยากมีชีวิตอย่างศิวิไลซ์ เราคนไทยกลับมีแนวโน้มจะรังเกียจขบวนการหรือคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม


เรียกร้องหลักการประชาธิปไตยที่เคารพในความเสมอภาคกันของมนุษย์ทุกคน
ราวกับไม่เข้าใจว่า ความศิวิไลซ์ และคุณภาพชีวิตใดๆ ก็ไม่สามารถสร้างได้ในการปกครองระบอบเผด็จการ อำนาจนิยม และในเงื่อนไขที่ประชาชนมีสถานะเหมือนผักเหมือนปลา ไม่มีสมอง วันๆ ก็มีชีวิต มีลมหายใจ รอความเมตตาจากรัฐบาลว่า เขาจะให้ก้าวเท้าซ้ายเท้าขวา จะกินข้าวหรือกินขนมปัง
ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด มีชีวิตไปวันๆ ทำตามที่เขาสั่งให้ทำก็จบ

กลับไปดูคนไทย 5 คนในลิสต์ของสเตรตไทมส์ เนติวิทย์เป็นเด็กน่ารังเกียจ และคงไม่มีวันจะได้รับรางวัลอะไรจากจุฬาฯ หรือองค์กรใดๆ ในประเทศไทยที่เป็นกระแสหลักอยู่แล้ว

ธนาธร คือนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ประกาศจุดยืนเรื่องประชาธิปไตย และต้องการหยุดกงล้อของการรัฐประหารในเมืองไทย ในขณะที่คนไทยส่วนมากยังเชื่อว่า การรัฐประหารเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยปราบนักการเมืองชั่ว

เท่าพิภพ คือคนที่ต่อสู้ให้กับอุตสาหกรรมคราฟต์เบียร์ที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย!!! (เออ แล้วคนไทยเอะใจกันบ้างไหมว่า คราฟต์เบียร์ฮิปๆ ที่เขากิน เขาขายกันทั่วโลก ทำไม้ทำไมมันผลิตในประเทศไทยไม่ได้ล่ะ? คราฟต์เบียร์ทำไม่ได้ สาโททำไม่ได้ ไวน์ทำไม่ได้ แต่อาหารปนเปื้อนสารพิษ ผักหญ้ามียาฆ่าแมลงเกินมาตรฐานที่ปล่อยให้ขายให้กินกันได้) 

ไอติม คือเลือดใหม่ของประชาธิปัตย์ ที่พยายามแสดงจุดยืนเรื่องประชาธิปไตย อันต่างจากคนรุ่นเก่าของประชาธิปัตย์ที่แปดเปื้อนเรื่องจุดยืนประชาธิปไตยแบบดีแต่พูด แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

รัสมี อีสานโซล ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์สำหรับคนไทย แต่เป็นผู้นำเพลงจากภาคอีสานที่คนไทย “ดูแคลน” ไปสู่การเป็น world music ที่มีความเป็นสากล และพิสูจน์ว่าบนเวทีโลกนั้น เขาไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการอนุรักษ์ความเป็นไทยแบบ “ไทยราชการ” เลยแม้แต่น้อย

ถ้าหากเราจะฉุกใจอะไรขึ้นมาได้บ้างกับลิสต์เหล่านี้ก็คือ การฉุกใจว่า สิ่งที่ได้รับการยกย่องว่ามีค่าในโลก domestic ของเรา นั้นมันตรงกันข้าม กลับตาลปัตร กับคุณค่าของสากลโลก
ฉุกใจคิดได้แล้ว คงบังเกิดความสะพรึงขึ้นมาบ้างว่า เฮ้ยยย ทำไมคนที่เราบอกว่าดี คนทั้งโลกเขาบอกเลว คนที่ในบ้านเราบอกว่าเลว คนทั้งโลกเขาบอกว่า แบบนี้ดี!

เราจะโอเคไหมกับการอยู่ในระบบคุณค่าที่กลับตาลปัตรกับชาวโลกเช่นนี้ หรือยังคงยืนยันว่า ความเป็นไทยของเรานั้นลึกซึ้งนัก โลกไม่มีวันเข้าใจหรอก!

รางวงรางวัลอะไร มันก็แค่แผนโฆษณาชวนเชื่อของพวกประเทศมหาอำนาจ
โลกจะเชิดชูประชาธิปไตย เชิดชูสิทธิ เสรีภาพอะไรก็เรื่องของโลก!! แต่ชั้นรักเผด็จการ ใครจะทำไม!