เปิดใจ ปธ.ยุทธศาสตร์เพื่อไทย : ปรับทัพรับศึกหน้า ผ่าปัญหาที่ รบ.ตู่ 2 ต้องผจญ!

“ตอนนี้เป็นยุคการเมืองต่อรอง เรียกร้องผลประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ยิ่งเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำยิ่งเป็น Happy hour ของนักการเมืองซีกรัฐบาลที่ทุกคนมีความหมายหมด สามารถออกฤทธิ์เดชได้ตลอดเวลา นี่มันเป็นผลพวงของความพยายามให้ได้มาซึ่งอำนาจการเป็นรัฐบาล หรือการกลับมาเป็นนายกฯ ของบิ๊กตู่โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่”

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้นิยามถึงสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน

: รัฐบาลนี้จะพังเพราะอะไร?

พวกเดียวกันเอง ปัญหาการทุจริต ผลประโยชน์ แล้วสิ่งที่เราเห็นทุกอาทิตย์นี้ก็จะมีแต่เรื่องผลประโยชน์ ต้องมีเรื่องการตอบแทน ถ้าไม่ตอบสนองก็ขู่จะถอนตัว เพิ่งเริ่มต้นเราจะเห็นแต่เรื่องแบบนี้ทั้งสิ้น ไม่เห็นมีใครแย่งทำงานเพื่อประชาชนบ้าง

เมื่อการออกแบบกติกาและสูตรคำนวณที่พิกลพิการไม่ได้มาจากฉันทานุมัติ ความศรัทธา หรือความต้องการจากประชาชน มันก็เลยเจอสภาพทุลักทุเลแบบนี้

เสียงปริ่มน้ำก็จะเจอเหตุการณ์ทุกสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันอังคารก่อน การประชุม ครม. หากมีโครงการของพรรคไหนเสนอแล้วเกิด ครม.ไม่เห็นด้วยก็จะมีพลังในการต่อรองขึ้นมาทันใด

ในสภาก็จะออกฤทธิ์กันวันพุธและพฤหัสบดีในช่วงการประชุม กระทั่งตัว ส.ส.เองหากไม่พอใจมติพรรคหรือไม่พอใจตำแหน่งที่ได้ก็สามารถแสดงออกได้ทุกวันประชุม ทำให้สุ่มเสี่ยงในการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ เกิดการทุจริต เกิดความเสียหายตลอดเวลา

ก็ต้องรับผลจากความพิกลพิการที่คุณสร้างมา

หลังจากนี้สิ่งที่รัฐบาลจะเจอก็มีการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ที่ฝ่ายค้านจะยื่น เช่น เรื่องนายกฯ ต้องทำให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญในการถวายสัตย์ ตามด้วยการแถลงนโยบายและเรื่องอื่นๆ

ถามว่าทำไมต้องหยิบเรื่องพวกนี้มาทำ

มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งเขานะ

วันนี้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ทุกคนต้องทำตาม แต่นายกฯ ดันทำผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯ คนนี้ทำผิดรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งในอดีต แต่มี ม.44 ช่วย พอตอนนี้เราห่วงใยในประเด็นนี้ เพราะว่าเมื่อการถวายสัตย์เป็นเหมือนกับกลัดกระดุมเม็ดแรก แต่คุณดันกลัดผิดคุณจะเดินต่อไปลำบาก ส่งผลถึง ครม.ที่ทำงาน อนุมัติโครงการใดก็จะผิดตามมาทั้งหมด เพราะถือตัวเองยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในการทำหน้าที่

สมมุติมีคนไปร้อง เช่น การอนุมัติงบฯ 5 หมื่นล้านในการช่วยเหลือประชาชน เงินไปถึงมือราษฎรแล้ว ปรากฏว่ามีคนไปร้อง หากในอนาคตมีการชี้ว่าการถวายสัตย์ไม่ถูก คำถามคือเงินที่กระจายลงไปสู่ประชาชนแล้วจะต้องเอาคืนหรือ?

ข้าราชการ-นักการเมืองต้องได้รับผิดหรือไม่?

มันเป็นเรื่องที่คลุมเครือและสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย แล้วมันจะเสี่ยงทุกอย่าง ในเมื่อรัฐบาลที่เป็นกลไกทำงานให้ประชาชน แต่รัฐบาลไม่ได้อยู่ในฟังก์ชั่นที่ครบถ้วนตามกฎหมาย การที่บอกว่ามันผ่านไปแล้วให้มันจบๆ การทำผิดรัฐธรรมนูญจะปล่อยให้จบๆ ไปได้อย่างไร?

ยิ่งถ้าฝ่ายค้านไม่ทำอะไร เท่ากับฝ่ายค้านก็ร่วมกระทำความผิดด้วย เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เท่ากับว่าทุกโครงการที่ ครม.อนุมัติไปโมฆะหมด นี่ถือว่าเราช่วยนายกฯ ด้วยซ้ำ ให้ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เมื่อเขาไม่แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เราจะเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อปรึกษาหารือ เรื่องนี้จะได้จบแบบถูกกฎหมาย ไม่ใช่จบแบบปล่อยๆ ไปเถอะ มันปล่อยไม่ได้!

แต่คนก็จะมองว่ารัฐบาลมักหาช่องรอดหรืออภินิหารได้เสมอ เขามีองค์กรอิสระอยู่ด้วย เขาอาจจะหาช่องรอดนี้ในการตีความกฎหมาย อย่างที่ทำอยู่แล้วเป็นประจำ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

: ประชาชนสะท้อนปัญหาหรือทำอะไรได้บ้าง?

ประชาชนมีความอึดอัดมากจากสภาวะการบริหารงานที่ล้มเหลวต่อเนื่องมา 5 ปีทำให้เศรษฐกิจและสังคมมันแย่ เศรษฐกิจแย่มากๆ เราคงจะเห็นได้จากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำมันก็เป็นโดมิโนตัวแรกล้ม

เกษตรกรเกือบ 30 ล้านคนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ก็จะส่งผลให้ตลาด ร้านค้าต่างๆ เงียบเหงาซบเซาขายไม่ได้ไปหมด ก็ไม่ได้มาซื้อของจากแหล่งขายส่ง ทำให้ไม่ได้ซื้อของจากโรงงาน ก็เจ๊งกันระนาว ในอำเภอ ในจังหวัด ในเมือง โรงงานอุตสาหกรรม ตายกันหมด SME ก็ตาย เศรษฐกิจเจ๊งไม่เป็นท่า

เรายังถูกซ้ำเติมด้วยภัยแล้งซึ่งไม่น่าเชื่อว่าภัยแล้งร่วมครึ่งปี ไม่เกิดการช่วยเหลือใดๆ เลย หรือเกิดขึ้นน้อยมาก

ด้านสังคมก็แย่ ยาบ้าในต่างจังหวัด 3 เม็ด 100 ในบางพื้นที่กินก่อนผ่อนทีหลังก็มี ลูกหลานเราแย่หมดแล้ว นี่พูดไม่ผิด ไม่ได้พูด over ลงไปถามชาวบ้านได้เลย ไม่มีใครทำอะไรทั้งนั้น 5 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านเขาอึดอัดมาก จากการลงพื้นที่ก็สื่อสารว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันหนึ่ง ขอให้ชาวบ้านแสดงพลังกันอย่างเต็มที่ ตอนนี้ก็ต้องรณรงค์แสดงความประสงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่วแน่ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ

เราเชื่อว่าการผนึกกำลังกันมันจะทำให้แม้แต่ทหารที่ถือปืน จะสู้เสียงของประชาชนไม่ได้

ชมคลิป

: เมื่อผู้นำกองทัพยังมองประชาชนบางส่วนเป็นศัตรู

ผู้นำกองทัพต้องปรับทัศนคติตัวเอง

ถือเป็นคำสัตย์ปฏิญาณของกองทัพอยู่แล้ว ว่าต้องทำหน้าที่อะไร ในการดูแลเอกราชของประเทศ รักษาความมั่นคง ไม่ให้ถูกศัตรูรุกราน

แต่วันนี้ผู้นำกองทัพอาจจะเข้าใจผิด กลับไปมีหน้าที่ปกป้องรัฐบาล

“รัฐบาลไม่ใช่ประเทศนะคะ”

พอไปเข้าใจผิด ด้วยความอาจจะเป็นพวกเดียวกันหรืออะไรก็แล้วแต่ การแสดงออกถึงออกมาอย่างที่เราเห็นในคำให้สัมภาษณ์ แสดงว่าไม่ได้สามารถวางตัวเป็นกลางได้

แต่ถ้าผู้นำเหล่าทัพได้ปฏิบัติตามภารกิจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ทำหน้าที่ของตัวเองจริงๆ แล้วจะช่วยคลี่คลายปัญหาไปได้

: อายุรัฐบาลสั้น-ยาวอย่างไร?

รัฐบาลนี้มีสนิมเนื้อในแน่นอน มันย้อนหลังกลับไป ตั้งแต่สมัยช่วยคุณพ่อหาเสียงเมื่อ 40 ปีที่แล้ว อายุรัฐบาลนี้ก็ต้องบอกว่าไม่เคยคิดว่าเขาจะราบรื่นอยู่แล้ว และไม่สามารถทำงานอะไรได้มาก มันมาด้วยความพิการ ด้วยเพทุบาย เผชิญกับการต่อรองกันตลอดทาง

เราเองเตรียมพร้อมการเลือกตั้งเสมอ แต่เราก็จะไม่ใช่ฝ่ายค้านที่จะทำทุกอย่างเพื่อรบเขา เราจะทำอย่างมีเหตุผล

แต่ตั้งแต่เห็นสภามาไม่เห็นนายกฯ ใส่ใจเรื่องความทุกข์ร้อนที่ ส.ส.ตะโกนกันจนคอโป่งหมดแล้ว

นายกฯ อย่ากลัวสภา ในเมื่อเป็นนายกฯ ที่เคยมาจากการรัฐประหารเอากระบอกปืนไปจี้คนอื่น เป็นมา 5 ปีแล้วอยากเป็นต่อ โดยใช้การเลือกตั้งชุบตัวว่าเป็นประชาธิปไตย ก็อย่ากลัวสภาเลยชายชาติทหาร ต้องเข้ามาฟังความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน

คุณไม่สนใจความเดือดร้อนของชาวบ้านแบบที่ทำมา 5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว

: ความในใจถึง ปธ.ยุทธศาสตร์ พปชร.

ขอยินดีต้อนรับนักการเมืองน้องใหม่เข้าสู่วิถีการเมืองแล้วก็อย่าใช้สิทธิพิเศษ ที่นอกเหนือสิ่งที่ตัวเองบอกว่าเข้ามาอย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยแล้วกัน

มองพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่วันแรกที่ตั้ง ทุกคนรู้โดยนัยยะหมดแล้วว่าถูกตั้งขึ้นมาโดยการ support จากใคร จากทหาร จาก 3 ป. นี่แหละ แต่เขาไม่เปิดหน้า เป็นอีแอบอยู่ข้างหลังมาตั้งนาน วันนี้พอเป็นรัฐบาล ความกล้าหาญในการที่กล้าจะเปิดหน้าเริ่มมี ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใจอะไร

เพราะเรารู้อยู่แล้วว่านักการเมืองพรรคนี้เคยไปที่ค่ายทหารค่ายหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ใช้ค่ายทหารเป็นที่ทำการพรรคซึ่งเขาก็ทำได้ แล้ววันนี้มีความกล้าหาญพอที่จะเปิดหน้าก็ขอยินดีต้อนรับ

: การปรับทัพรับศึกหน้าของเพื่อไทย

ขณะนี้เราปรับกันอยู่ เราต้องฟอร์มตัวเองใหม่ ปัจจัยหลักใหญ่เกิดจากเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมันเป็นเงื่อนไขที่ออกแบบมาเพื่อบอนไซพรรคเพื่อไทย ไม่ให้โต ทั้งวิธีสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ เราก็ปรับตัวเพื่อรับกับกติกาที่บิดเบี้ยวนี้

ประการต่อมา โลกของเทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก disrupt ทุกวงการแม้แต่พรรคการเมือง ถ้าไม่ปรับตัวก็ไม่ได้

ท้ายที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องปรับตัวต่อปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชน ต้องยอมรับว่า 5 ปีที่ผ่านมาปัญหามันหนักกว่าที่เราเคยทำแคมเปญ 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง

วันนี้แทบจะไม่เหลืออะไรให้ซ่อมแล้ว มีแต่ซากปรักหักพังเต็มไปหมด มันเหมือนกับจะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เหมือนจะเป็นงานที่หนัก ปัญหาชาวบ้านมีมาก

พรรคจึงต้องไวกว่านี้ ต้องเร็วกว่านี้ เราต้องสู้กับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เราต้องเอาจุดแข็งของเราที่มีคนอยู่ 3 รุ่น คือ รุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นใหม่มาผนึกกำลังกันทำ เราก็พร้อมเลือกตั้ง แต่เราจะต้องวางยุทธวิธีหลายอย่างในการที่จะทำให้รองรับคะแนนตกน้ำได้ ก็ได้ทำได้คิดหลายอย่างพอสมควร แต่ยังเผยตอนนี้ไม่ได้

แม้ว่าพลังดูดจะเกิดขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต เราก็มีแต่ประชาชน อำนาจเราไม่มี ปืนก็ไม่มี ประชาชนจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้เรา

วันนี้จุดยืนของพรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันที่ประชาชนเห็นได้ชัดแล้วว่า เรายืนอยู่ในฝั่งที่ต่อต้านเผด็จการและสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือจุดแข็งของเรา ประการต่อมา พรรคเราคือความหวังของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะว่าการกลับมาทุกครั้งของเรา เราทำให้เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น ซึ่งเราคิดว่าในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด 2 จุดนี้ เรามีจุดแข็งมากกว่า

Position ที่เราวางไว้ เราจะเป็นพรรคที่อยู่วัยกลางคนที่สามารถเชื่อมประสานข้อดีของอดีต ความเก๋าประสบการณ์ กับข้อดีของอนาคตคือความรู้เรื่องเทคโนโลยีและคนรุ่นใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ด้วยสถิติเดิม ประวัติเดิม จากความสำเร็จเดิมที่เราเคยทำเอาไว้ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณเรื่องประชาธิปไตย

เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือเป้าหมาย เราในฐานะประธานยุทธศาสตร์จะทำให้เป็นจุดขายของพรรค